Adore you #41

 

“คุณหนูจะไปไหน”

เสียงดังของซันนี่ที่รีบพาตัวเองมาถึงบ้านต้นไม้กำลังเรียกความสนใจจากเจ้าของอาณาจักรแห่งนี้ แต่สองมือที่เร่งรีบยัดเสื้อผ้าใส่ในกระเป๋ายังคงไม่หยุดนิ่งและตอบคำถาม เป้ใบสีน้ำตาลพร้อมชุดพักค้างอ้างแรมของพวกที่ชอบเดินฟ่าถูกดึงออกมาจากใต้เตียงตบมันเบาๆเพื่อให้ฝุ่นที่เกาะอยู่กระจายตัวก่อนมันจะถูกโยนไปกองรวมกันกับเสบียงอาหารอีกจำนวนหนึ่ง กุญแจรถเอทีวีที่ได้มาหนึ่งคันถูกโยนตามไปด้วยในขณะที่คนตัวเล็กยังคงไม่ยอมถอยหนีออกไปง่ายๆจนกว่าตัวเองจะได้คำตอบ

“หลบหน่อย”

“ฉันถามว่าคุณหนูกำลังจะไปไหน!”

เสียงเข้มที่ดังกว่าเดิมทำให้คนถูกถามชะงักสองมือที่กำลังก้มผูกเชือกรองเท้าหุ้มข้อที่เจ้าตัวมักจะเลือกใส่ออกไปในคราวที่ต้องเดินทางไปที่ไกลๆ เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเจ้าของคำถาม

“จะไปหากุหลาบสีน้ำเงิน”

“มันมีที่ไหนกัน”

“เคยเจอและเอามาปลูกครั้งนึงและเชื่อว่าต้องเจออีกครั้งแน่ๆ”

ป้าแม่บ้านที่ยืนมองเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นส่ายหัวให้กับคำตอบที่ไม่ใช่ความจริงเพราะรู้ดีกว่าสาเหตุที่แท้จริงนั้นมีต้นตอมาจากผู้หญิงของเจ้านายตัวเองมากกว่าและอีกอย่างโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาในครึ่งชั่วโมงก่อนหน้าก็ทำให้ป้าแม่บ้านรีบโทรหาซันนี่เพื่อมาช่วยถ่วงเวลาเอาไว้เพื่อในขณะที่ผู้หญิงของเจ้านายตัวเองกำลังเดินทางมาที่นี่

“เอ่อ…พอดีฉันมีเรื่องจะปรึกษาคุณหนูเรื่องกรุ๊ปทัวร์ที่กำลังจะมา…”

“ตัดสินใจไปตามความเหมาะสม”

“แต่ว่ายังมีเอกสารที่ต้องเซ็นต์คือว่า..”

“เอาตามที่บอกก็แล้วกัน”

“ทำไมคุณหนูถึงต้องรีบขนาดนี้”

“เอากุญแจรถมาให้ฉัน”

“คุยกันให้รู้เรื่องก่อน”

“ซุนคยู!”

“ฉันไม่รู้ว่าคุณสองคนทะเลาะกันเรื่องอะไร แต่คุณหนูจะเอาแต่หนีแบบนี้ไม่ได้!”

ปึก!

“อ๊ะ หลังฉัน!”

กุญแจรถถูกดึงเข้ามากำแน่นไว้ในมือก่อนที่มันจะซุกลงในกระเป๋ากางเกงกลับกลายเป็นว่าตอนนี้สองมือนั้นกำกระชับอยู่กับคอเสื้อของคนตัวเล็กที่ถูกผลักไปติดอยู่กับผนังด้วยแรงในระดับที่ทำให้ใบหน้าของผู้ถูกกระทำบิดเบี้ยวได้ แต่สองมือกำแน่นหรือจะพ้นหลักฐานจากสายตาที่จดจ้องกลับมาเพราะมันเต็มไปด้วยความเศร้าหมองบางอย่าง

”เธอไม่มีวันเข้าใจหรอกซุนคยู”

แล้วข้าวของทั้งหมดก็ถูกเเบกขึ้นหลังคนอารมณ์ร้อนก่อนมันจะวางเกยอยู่บนท้ายรถเอทีวีพร้อมสายรัดแน่นเสียงรถดังขึ้นแข่งกับเสียงเรียกตะโกนให้อยู่และทิ้งตัวห่างออกไปจากบ้านต้นไม้

“ฮโยมินกำลังจะมาที่นี่ ต้องคุยกับเธอให้รู้เรื่องก่อน!”

“อีกสองวันจะมีพายุอย่าไปเลย คุณหนู!”

000

 

“ฮโยมิน”

เสียงเรียกชื่อตัวเองจากพี่โซยอนที่ดังขึ้นพร้อมกับฝ่ามือที่เข้ามาจับที่หัวไหล่ไม่ได้ทำให้ฉันสนใจและหันไปมองก่อนจะเรียกให้แม่บ้านเข้ามาเก็บแก้วนมอุ่นๆที่ตอนนี้มันเย็นชืดออกไป สายตายังคงจับจ้องอยู่กับกล่องกำมะหยี่สีครีมที่วางอยู่ตรงหน้าเอื้อมเข้าไปหยิบมันขึ้นมาพลางนึกถึงใบหน้าในตอนนั้นของใครบางคนและก็ทำให้หยดน้ำตาเริ่มไหลออกมาอีกครั้ง มันทำให้ฉันคิดถึงแววตาที่จ้องมองคู่รักที่เพิ่งจะถูกขอแต่งงานในคืนนั้น คิดถึงสีหน้าสดใสและรอยยิ้มกว้างที่เกิดจากความสุขใจในคราวที่เธอขับรถมาส่งที่โรงแรมในเช้าของเมื่อวานแต่ทั้งหมดมันก็ต้องจบลงเพียงแค่การเธอที่เดินเข้ามาถึงห้องทำงานในช่วงเวลาที่ฉันคุยเรื่องบางอย่างอยู่กับคุณปู่

การขับรถกลับที่ไร่กุหลาบด้วยความเร็วเต็มพิกัดของรถยนต์คันหนึ่งที่สามารถทำได้ดูไร้ประโยชน์ การดื้อดึงที่จะเข้าไปตามหาคนที่พยายามหนีหน้าไปอย่างตั้งใจดูจะไม่เป็นผลและข่าวของการพยากรณ์อากาศที่ดังผ่านเข้ามาก็สร้างความกังวลให้เพิ่มมากขึ้นไปอีก

“คนเราหนีหัวใจของตัวเองไม่พ้นหรอก”

“แต่ฉันกลัว..”

“เพราะจียอนไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่มีเวลาให้หัวใจตั้งรับกับข้อแลกเปลี่ยนที่คุณปู่ยื่นให้”

“ฉันไม่ไปแล้ว!”

“ฮโยมินอ่า”

“ถ้าความสำเร็จพวกนั้นต้องแลกกับคนที่เรารัก…สุดท้ายฉันก็ไม่มีความสุขอยู่ดี”

“ตอนนั้นพี่เองก็ไม่อยากไปอยู่อเมริกา ไม่อยากห่างกับอึนจองเหมือนกัน”

“พี่โซยอน”

“เกือบ 10 ปีแหนะ แต่สุดท้ายเราก็ได้กลับมารักกัน”

“……………………..”

“พี่เชื่อว่าจียอนต้องเข้าใจ เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาไม่ทันได้ตั้งตัวเท่านั้นเอง”

ฉันพาตัวเองเดินขึ้นมาบนห้องก่อนที่จะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงหลับตาลงปล่อยให้เรื่องราวทั้งหมดวิ่งวนอยู่ในหัวความสับสนและความกังวลรวมไปถึงความกลัวบางอย่างทำให้น้ำตาค่อยๆไหลออกมา คิดถึงใบหน้าที่เคยเปื้อนรอยยิ้ม อ้อมกอดอบอุ่น สัมผัสแผ่วเบาที่สุขล้นคิดถึงมันทั้งหมดและถ้าหากมีเวทย์มนต์บทไหนที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องราวทั้งหมดได้ฉันจะไม่รีรอที่วิงวอนร้องขอจะทำทุกอย่างทำทุกทางเพื่อเปลี่ยนแปลงเรื่องราวทั้งหมดให้มันกลับไปสวยงามอย่างเช่นที่ผ่านมา

“จียอนอ่ากอดฉันตอนนี้ได้มั้ย”

..

 

“ขอบคุณมากนะครับ ถ้าไม่ได้คุณลูกสาวของผมก็คงจะแย่”

ฉันพยักหน้าเป็นคำตอบก่อนจะส่งยาที่พกติดตัวมาด้วยยื่นให้กับชาวบ้านคนนึงที่เป็นพ่อของเด็กสาวที่นอนซมด้วยพิษไข้ป่า เข็มฉีดยาถูกเก็บทิ้งนึกขอบคุณที่เคยตามคุณปู่ของตัวเองเข้าไปช่วยชาวบ้านเมื่อสองสามปีก่อนบ่อยๆ แพทย์อาสายังคงเป็นคำจำกัดความและสอนให้ฉันเรียนรู้จากคุณปู่อีกที

“แล้วนี่คุณจะพักที่ไหนหรือครับ”

“พักที่นี่จะดีกว่านะคะถึงบ้านเราจะหลังเล็กแต่คงจะสบายกว่านอนเต้นท์”

คนที่เป็นภรรยาเอ่ยปากชวนด้วยรอยยิ้มถ้าหากว่าฉันแค่เอ่ยปฏิเสธความหวังดีของชาวบ้านคู่นี้ออกไปก่อนจะพาตัวเองเดินออกมาถึงรถที่จอดไว้ปีนขึ้นไปพร้อมกับสตาท์เครื่อง

“จะพักที่ไหนหรือครับ”

“บนยอดเขาลูกนั้น”

“แต่สองสามวันมานี้อากาศดูผิดปกติผมว่าคุณ..”

“ถึงตอนนั้นจะรีบลงมา”

“แต่ว่า…”

แล้วฉันก็บังคับรถให้แล่นออกในขณะที่ไม่ได้สนใจเสียงเตือนที่ตะโกนดังขึ้นไล่หลัง ลัดเลาะไปตามเส้นทางที่ไม่ได้เข้ามานานมากแล้ว บ่ายสี่โมงยังคงมีแสงแดดอ่อนๆทอดตัวสาดส่องไปยังภูเขาหลายลูกแต่ยิ่งตะวันใกล้ลาลับมากเท่าไหร่ความเศร้าในใจก็ดูเหมือนจะยิ่งเพิ่มพูนในหัวใจมากขึ้น แล้วไม่นานนักฉันก็มองเห็นเนินเขาสูงชันเมื่อตัวเองเดินขึ้นมาอยู่ในจุดสูงสุดในพื้นที่กว้างใหญ่แห่งนี้

สัมภาระที่แบกขึ้นบนหลังมาด้วยถูกทิ้งลงบนแผ่นหินขนาดใหญ่ที่มีต้นไม้รายล้อมในพื้นที่ส่วนหลัง ทอดสายตามองวิวทิวทัศน์เงียบสงบตรงหน้ามันคงจะเป็นภาพที่สวยงามมากกว่านี้ถ้ามีใครบางคนนั่งมองด้วยกัน

ฉันส่งข้อความกลับไปยังเบอร์ที่โทรเข้ามานับไม่ถ้วนก่อนที่จะตัดสินใจปิดมันแล้วยัดลงในกระเป๋าแล้วหันมายุ่งอยู่กับเต้นท์กางมันออกด้วยความชำนาญก่อนที่กองไฟจะถูกจุดขึ้นเพื่อบรรเทาความเย็นในยามที่ตะวันลาลับไป

“2 ปีเหรอ”

หัวเราะให้กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนจะนั่งลงยังเก้าอี้ทหารพร้อมน้ำร้อนที่เดือดอยู่ในการินมันลงในแก้วสีเงินฝ่ามือโอบแก้วนั่นเพื่อลดความหนาวเย็นยกมันขึ้นมาจิบแล้วถอนหายใจออกมาแรงๆแต่นั่นมันก็ไม่ได้ช่วยให้ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจลดลงไปได้เลยซักนิด

“แค่วันเดียวก็จะทนไม่ไหวอยู่แล้ว”

ขอเวลาให้ฉันตั้งรับกับทุกอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นได้มั้ยเพราะตอนนี้หัวใจของฉันกำลังบีบรัดแน่นเพียงแค่รู้ว่าจะไม่ได้เห็นหน้าเจ้าของมันอย่างเช่นทุกวัน เห็นแก่ตัวจะว่าอย่างนั้นก็ได้แต่เพียงคิดว่าจะต้องจาก…หัวใจก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา

“คุณครับ!”

เสียงผู้ชายที่ตะโกนอยู่ที่รถด้านล่างทำให้ฉันต้องลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปตามเสียงเรียกนั้นก่อนจะเห็นคู่สามีภรรยาคู่เดิมที่กำลังเดินขึ้นมาหา สองมือยังคงเต็มไปด้วยอาหารที่หอบหิ้วมาด้วย การปฏิเสธน้ำใจดูจะไม่เป็นผลเมื่ออาหารมื้อเย็นถูกแกะออกแล้วส่งมาให้ด้วยรอยยิ้ม

“ขอบคุณแต่ฉันไม่หิวเท่าไหร่จะเก็บเอาไว้เป็นมื้อเช้าก็แล้วกัน”

“ไม่ได้นะครับ คุณมาถึงนี่ตั้งแต่บ่ายต้องทานมื้อเย็น อีกอย่างเมียผมตั้งใจทำสุดฝีมือเพื่อเจ้าของไร่คนใหม่”

“รู้จักฉัน?”

“ครับ..ไอ้ข้างบ้านบอกมามันเป็นน้องชายคนที่ทำงานในไร่ลอเรนซ์  รีสอร์ทสวยและธรรมชาติล้อมตัวก็ยังปกติเช่นเดิม”

“……………………”

“พวกเราดีใจที่เจ้าของไร่คนใหม่เป็นคุณถ้าเกิดตกเป็นของไอ้ผู้ชายใจร้ายคนนั้น คงต้องหาที่อยู่ใหม่ เก้งกวางเสือสิงคงสูญพันธุ์ ยานรกคงแพร่ระบาด”

“อูยอง?”

“ใช่ครับ..เอ่อแล้วทำไมถึงมาคนเดียวละครับ”

ฉันได้แต่ยิ้มออกไปก่อนจะหันไปมองทิวทัศน์ที่มีแสงจันทร์สว่างจ้านำทางให้เห็น ปล่อยให้สายลมเย็นๆพัดผ่าน คู่สามีภรรยานั่งที่พื้นโดยใช้ตอไม้เป็นฐานรองความหวังดีจากพวกเขาทำให้ฉันยิ้มออกมา เราจะไม่ขออนุญาตที่จะร่วมทานมื้อเย็นกับคุณเพราะเรารู้ว่าคุณคงเหงา แล้วสุดท้ายฉันก็ต้องยอมทานมื้อเย็นร่วมกับคู่สามีภรรยาคู่นี้ รอยยิ้มเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวถึงสังเกตุได้ว่าแม้ว่าอายุของพวกเขาน่าจะเท่าๆกัันกับพ่อของตัวเองแต่การเอาใจใส่ดูแลเอาใจใส่จากอีกฝ่ายก็ยังดูเหมือนว่าเป็นคู่รักที่เพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน…น่าอิจฉาเสียจริง

“มีลูกสาวคนเดียวหรือ”

“ใช่ครับ..แต่กว่าจะมีเจ้าตัวเล็กนั่นก็เล่นซะผมเกือบท้อ”

“ทำไมถึงเป็นแบบนั้น…ร่างกายไม่ดีเหรอ”

“เปล่าครับเพราะพ่อแม่เขาหวงลูกสาว หมายถึงเมียผมน่ะครับ กว่าจะได้เป็นพระเอกก็ต้องเล่นบทบู้ซะหลายเรื่อง”

“เกือบ 7 ปีน่ะค่ะกว่าแม่ของดิฉันจะยอมรับเขาให้มาเป็นพ่อของลูก”

“เห็นม้้ยละครับ”

“แล้วอะไรที่ทำให้อดทนล่ะ”

“เพราะรักและมั่นคงต่ออีกฝ่ายไงล่ะครับ คำตอบง่ายๆแต่ใช้เวลานานกว่าจะทำให้พวกเขาเชื่อว่ามันจริง ผมคิดว่าความรักไม่ใช่เรื่องของคนสองคน ไหนจะพ่อแม่ไหนจะพี่น้องของเขาพวกเขาก็รักลูกสาวของเขาไม่น้อยไปกว่าเรา ดีก็ตรงไหนผมมีโอกาศให้ได้พิสูจน์ตัวเอง”

“พอแต่งงานได้ปีหนึ่งก็ติดยัยหนู”

“มัวรออะไรรอมาตั้ง 7 ปี”

รอยยิ้มเอียงอายของภรรยาที่เกิดขึ้นทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะยิ้มตามไปด้วย ภาพของคนสองคนที่ใช้ชีวิตง่ายๆและมีลูกสาวหนึ่งคนทำไมถึงรู้สึกได้ว่าพวกเขาดูมีความสุขมากกว่าคนรวยพวกนั้น แล้วมันก็พลอยทำให้คิดถึงเรื่องของตัวเอง

“ตอนนั้นผมก็กลัวว่าเธอจะเปลี่ยนใจ อีกอย่างกลัวหัวใจของตัวเองว่าจะทนไม่ไหวตั้ง 7 ปี แต่สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละครับ”

“เพราะการอดทนรอและความมั่นคงในความรู้สึกของพ่อพิสูจน์ให้เห็นทุกอย่างไงจ๊ะ”

000

 

เช้าที่แสนเงียบและเหงาพร้อมท้องฟ้ามิดครึ้มทำให้ความขุ่นหมองในใจเพิ่มขึ้นไปอีก การย้ายตัวเองลุกจากที่นอนเป็นเรื่องง่ายเพราะทั้งคืนก็นอนไม่หลับ มองตัวเองผ่านกระจกบานใหญ่นี่น่ะหรือคนที่เธอรัก หนีหายเข้าไปในป่าพร้อมกับหัวใจที่เอาไปด้วย ถอนหายใจออกมาเพราะถึงไม่หลับก็เอาแต่ฝันถึงมันฟังดูแปลกๆไม่รู้จะเรียกว่าฝันได้หรือไม่เพราะไม่ได้นอนรึจะเรียกว่าคิดถึงจนนอนไม่หลับกันแน่ กล่องแหวนสีครีมในลิ้นชักถูกหยิบออกมาอีกครั้งเหมือนจะชวนให้นึกเจ้าของมันและวันนี้ฉันตัดสินใจที่จะออกไปตามให้เขามาสวมให้ที่นิ้วนางข้างซ้ายถึงเจ้าของแหวนไม่ใช่ผู้ชายก็ช่างประไรเมื่อผู้พิทักษ์รู้จักวิธีการที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนเจ้าหญิง

“ตื่นเเช้าจังคะ…นั่นจะไปไหนคะคุณหนู”

“ไร่กุหลาบ”

“คะ!…แต่ว่า”

“บอกทุกคนได้เลยว่าจะไปตามหัวใจไม่ว่าใครหน้าไหนก็ขวางไม่ได้ทั้งนั้น”

“ชุดเดินป่าสวยนิ”

“พี่อึนจองมาแต่เช้า”

“อะไรกันพี่ค้างที่มาหลายอาทิตย์แล้ว”

“ต้องรีบแล้วเดี๋ยวค่อยคุยนะ”

“มื้อเช้าให้เรียบร้อยก่อนค่อยไป”

“ไม่ทันจนได้”

“ไม่ได้ห้ามแต่กินอะไรแล้วค่อยไป…เป็นลมกลางทางหัวใจก็ไม่ได้คืน”

“พี่โซยอน”

“นั่นชุดอะไร”

“จะไปเป็นเพื่อน”

“งั้นฉันไปด้วย!”

“ฉัน…คนเดียวก็พอ”

“อยากไปเที่ยวป่า”

“แล้วงานที่โรงแรมล่ะ”

“ช่างประไรตั้งแต่มานี่ก็ยังไม่เคยได้พัก”

“แหกกฏเหรอ!”

“ทำตามเธอ…ฮโยมิน”

“…งั้นก็ไปกันทั้งหมดนี่แหละ”

“ไม่ได้นะพี่อึนจอง”

“ลาพักร้อนก่อนส่งน้องไปนอก…”

“พี่โซยอน…ไม่ไปแล้ว!”

“ไร่กุหลาบน่ะเหรอ”

“โอ้ย…อะไรกันเนี้ย”

แล้วรถยนต์ก็เคลื่อนตัวออกไปตามเส้นทางของไร่กุหลาบ ฉันเองไม่ได้พูดอะไรออกไปนอกเสียจากนั่งเงียบๆไปตลอดทางพร้อมอาการมึนหัวนิดๆไม่รู้เพราะคนขับรถคนโปรดของพี่โซยอนหรืออาการอดนอนกันแน่ ผ่านไปเรื่อยๆจนสองข้างทางเปลี่ยนเป็นป่าเขียวครึ้ม..คงอีกไม่นานจะได้ออกไปตามหัวใจอย่างที่พี่โซยอนว่า

“อึนจองขับรถออกถนนใหญ่ครั้งแรกหรือไง”

“ไม่ได้บู้แบบนี้มานานแล้ว สนุกดีเหมือนกัน”

“จะอ้วกแล้ว ขับดีๆ”

“เหมือนฝนจะตก”

“ว่าแล้วเชียว”

กว่ารถจะเข้ามาถึงบ้านต้นไม้ทุกอย่างรอบกายก็ชุ่มช่ำด้วยหยาดฝนที่ตกลงอย่างหนักฉันสะดุ้งตกใจเมื่อใบหน้าของใครบางคนปรากฏขึ้นในขณะที่หลับตา แล้วก็ต้องลืมตาอย่างกระทันหันเมื่อฝ่ามือเย็นเฉียบเข้ามาแตะที่แขน ปรับสภาพสายตามองไปรอบตัวก็พบว่ารถยนต์เข้ามาจอดที่โรงรถที่บ้านต้นไม้เสียแล้ว

“ทำไมตัวร้อนแบบนี้”

“ถ…ถึงแล้วหรอ”

“ลงมาได้แล้วมินนี่”

ฉันเดินลงจากรถก่อนจะพยายามทำตัวลีบแบนเพื่อหลบสายฝนที่เทลงมาก่อนที่ป้าแม่บ้านคนเดิมจะเดินเข้ามาหา ภายในบ้านดูเงียบเหงาคงเพราะเจ้าของบ้านไม่อยู่ ภาพบรรยากาศเก่าๆของเราแล่นวนฉันเดินออกมายืนชิดกระจกบานใหญ่ทอดสายตาไปยังระเบียงไม้ที่ตอนนี้มีสายฝนเทลงมาอย่างไม่กลัวว่าพื้นไม้จะผุพัง แล้วผ้าขนหนูก็ถูกส่งยื่นมาให้ตรงหน้าเหมือนกับพี่อึนจองที่ใช้มันเช็ดผมอยู่ที่โซฟา ฉันรับมันมาก่อนจะคลี่มันออกแต่ใช้มันห่มร่างกายเพื่อทดแทนความอบอุ่นจากใครบางคนที่ชอบโอบกอดฉันอยู่ตรงจุดนี้บ่อยๆ

“ลอเรนซ์?”

“อยู่กับคุณผู้หญิงค่ะ”

“ติดต่อมาบ้างมั้ย”

“คุณซันนี่บอกว่าส่งข้อความกลับมาหา บอกว่าไม่ต้องห่วง อยู่ที่ไกลๆซักพักแล้วจะกลับมา”

“ทั้งๆที่รู้ว่าจะไปอาทิตย์หน้าแต่ก็ยังไม่อยากใกล้”

“หน้าคุณแดงดูเหนื่อยๆตัวก็รุ่มๆเดี๋ยวป้าจะเตรียมยามาให้ ยังไงวันนี้ก็ไปไม่ได้ฝนตกหนักแบบนี้”

“แล้วเค้าจะอยู่ยังไงกลางป่าแบบนั้น”

ป้าแม่บ้านไม่ตอบก่อนจะพาพี่โซยอนและพี่อึนจองเข้าไปยังห้องอีกห้องที่อยู่ติดกัน ฉันลุกขึ้นยืนและมองไปยังบรรยากาศด้านนอก ฝนใกล้จะหยุดแล้วนิเพราะตกไม่แรงเท่าตอนมาถึงโทรศัพท์ในกระเป๋าถูกหยิบออกมากดโทรออกไปยังเบอร์โทรของผู้ที่น่าจะนำทางไปได้ ปลายสายกดรับก่อนจะเอ่ยปากห้ามอย่างที่คิดไว้แต่เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายยังไงก็ชำนาญเส้นทางการนัดแนะกันอย่างลับๆจึงเป็นไปได้ด้วยดีก่อนจะรอให้ถึงเวลาที่ดึกกว่านี้จะได้แอบออกไป…ตามหาหัวใจ

.

.

.

.

.

.

.

TBC.

 

Adore you #40

เช้าของวันผ่านอย่างรวดเร็วเหมือนกับงานรื่นเริงของเทศกาลไม่มีผิด เสียงดนตรี ชิงช้าสวรรค์สูง ธงสัญลักษณ์ไร่กุหลาบ ไวน์รสเลิศและผู้คนที่อยู่ในชุดคาวบอยจำนวนหลากหลาย บรรยากาศใกล้ค่ำเช่นนี้ช่างเป็นช่วงเวลาที่อยากจะหยุดเอาไว้ไม่ให้ผ่านพ้น ฉันหันไปหาคนข้างๆที่วันนี้เจ้าตัวยอมทำตัวน่ารัก ยอมใส่ชุดที่ฉันเลือกให้..ตามใจทุกอย่างโดยไม่ขัดขืนแม้แต่น้อย รอยยิ้มบางๆประดับบนใบหน้าในคราวที่เธอออกคำสั่งให้คนงานที่เดินเข้ามาหาช่างดูมีเสน่ห์และน่าชื่นชม แต่ความคิดทั้งหมดก็ต้องหยุดไว้เมื่อญาติผู้ใหญ่ที่กำลังเดินเข้ามาพยายามมองหา

“ไปหาคุณปู่กัน”

เธอเดินเข้ามาหาในขณะที่ฉันเองยังมีลอเรนซ์อยู่ข้างๆ สองแขนยกเด็กน้อยขึ้นไปอุ้มเอาไว้ก่อนที่เราจะเดินเข้าไปในเต้นท์ผ้าฝ้ายผืนใหญที่ถูกกางไว้เอาโดยเฉพาะ คำชื่นชมและการแสดงความยินดีเป็นสิ่งได้ที่ยินมาตลอดทั้งวันจกระทั่งท้องฟ้าเริ่มมืดมิดหมู่ดาวแสดงตัวตนระยับพร้อมเสียงดนตรีคันทรี่ตามฉบับชาวไร่

ไวน์ในแก้วถูกทยอยส่งให้จนครบจำนวนคน เธอส่งลอเรนซ์ให้กับป้าแม่บ้านก่อนที่จะพาฉันเดินเข้าไปนั่งโดยคุณพ่อคุณแม่และคุณปู่อีกสองท่านนั่งอยู่ด้านในก่อนแล้วแถมยังมีซันนี่และไอยูนั่งรวมอยู่ด้วย

“โอ๊ะ พี่คิวรีพี่มินคยอง”

“โทษทีมาช้าไปหน่อย”

ผู้หญิงสองคนที่เดินเข้ามาโค้งให้ญาติผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ก่อนจะเดินเข้ามานั่งเก้าอี้ต่อจากเธอ รอยยิ้มจากผู้หญิงสองคนนั้นถูกส่งมาหาในขณะที่ฉันหันไปมอง

“วันนี้ฮโยมินสวยมากเลยนะคะ”

“คุณสองคนก็เช่นกัน”

ฉันเพียงยิ้มกลับไปก่อนที่จะหันไปหาบทสนทนาของพวกผู้ใหญ่ที่กำลังเปิดฉากขึ้น แววตาของความพึงพอใจฉายออกมาจากคุณปู่ของตัวเองแต่ทำไมฉันจะไม่รู้ เมื่อตัวเธอเองก็รู้สึกแปลกใจกับมันไม่ต่างกัน

“เก่งสมชื่อ”

“……………………….”

“ฉันหมายถึงหลานสาวของแกไง”

รอยยิ้มสุขุมฉายออกมาบนใบหน้าของคุณปู่ของเธอก่อนที่ท่านเองจะขยับแว่นตาแล้วหันมาหา สายตาที่มองมาไม่อาจรอดพ้นนไปจากตัวเองจนฉันรู้สึกประหม่า

“เพราะได้เพื่อนที่รู้ใจ ได้คนที่คอยชี้แนะ มีคนคอยเป็นกำลังใจทำให้เรามีเรี่ยวแรงที่จะต่อสู้”

ทุกคนที่นั่งอยู่รู้…รู้ว่าคำพูดที่เอ่ยออกมาโดยน้ำเสียงอ่อนโยนนั้นหมายถึงใคร รอยยิ้มจางและฝ่ามือที่บีบกระชับจึงเกิดขึ้นก่อนที่ฉันจะยิ้มตอบกลับไปหาเธอเช่นกัน แต่จากนั้นเสียงเฮลั่นที่ดังขึ้นอยู่ไม่ไกลก็เรียกความสนใจจากคนที่นั่งอยู่..ฉันได้ยินเสียงปรบมือและเสียงหัวเราะที่บ่งบอกถึงความสุข ผู้คนที่ตีวงล้อมชายหญิงคู่หนึ่งที่ยืนอยู่ตรงกลาง

“ตัวแทนบริษัททัวร์ขอแฟนสาวแต่งงานครับคุณหนู!”

หัวหน้าคนงานที่วิ่งเข้ามาหาเอ่ยถึงที่มาที่ไปของเสียงโห่ลั่นที่ดังขึ้นจากนั้นทุกคนที่นั่งอยู่ก็พากันเดินออกมายังจุดกึ่งกลางที่มีกลุ่มคนมุงล้อมอยู่ กองไฟที่อยู่ตรงกลางประทุโชติในขณะที่มีผู้ชายคนนึงที่ถูกเชิญมางานเปิดรีสอร์ทกำลังคุกเข่าต่อหน้าผู้หญิงตัวเล็ก ภาพที่เห็นอยู่ตอนนี้ทำให้ฉันยิ้มกว้างและลุ้นไปกับคำตอบของผู้หญิงคนนั้น

และเพียงแค่การพยักหน้าและฝ่ามือที่ยกขึ้นปิดปากพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาก็เป็นคำตอบที่ทำให้ผู้ชายที่คุกเข่าอยู่นั้นรีบลุกขึ้นยืนและดึงอีกฝ่ายเข้ามากอด เสียงโห่ลั่นดังขึ้นอีกรอบแต่ในคราวนี้มันตามมาด้วยเสียงวงดนตรีคันทรี่ที่เริ่มบรรเลงเข้าคลอบรรยากาศให้ดื่มด่ำไปกับความดีใจและความสุขที่กำลังหล่อเลี้ยงจากหัวใจของคู่รัก

แล้วคู่รักคู่นั้นก็ผละออกจากกันฝ่ามือหนาใหญ่ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงก่อนจะยื่นอีกมือเข้ากุมมือผู้หญิงของตัวเองเอาไว้ น้ำตาแห่งความดีใจไหลออกมาไม่ยอมหยุดจนฝ่ายชายต้องช่วยเช็ดหยดน้ำตาบนแก้มแดงระเรี่ยนั่นออกไปเบาๆ แล้วนาทีสำคัญก็กำลังดำเนินเกิดขึ้นเมื่อผู้ชายคนนั้นบรรจงสวมแหวนให้กับว่าที่เจ้าสาวของตัวเองพร้อมกับรอยจูบที่ปิดประทับบนหัวแหวน

“เป็นภาพที่สวยงามเสียจริง”

เสียงคุณปู่ดังขึ้นทำให้ฉันหันไปหาก่อนจะเห็นแววตาที่ดูเป็นสุขเมื่อท่านจ้องมองไปยังคู่รักคู่นั้นที่ยังคงมอบอ้อมกอดอบอุ่นให้แก่กันและกัน ฉันยิ้มออกไปอีกครั้งแต่ทว่าไม่สะดุดกับสายตาของเธอที่มีลอเรนซ์อยู่ในอ้อมกอด แววตาแบบนั้นถูกส่งมาให้เพียงชั่ววินาทีก่อนที่มันจะกลับมาเป็นปกติพร้อมกับรอยยิ้มจาง

แล้วงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลาเมื่อฉันกำลังยืนอยู่ที่หน้ารถตู้มองพี่โซยอนกับพี่อึนจองที่กำลังเถียงกันกับเรื่องชุดที่ใส่มาวันนี้มันเป็นภาพที่ดูน่ารักในแบบที่ฉันคิดเอาไว้ตลอด แล้วลอเรนซ์ที่เธออุ้มอยู่นั้นก็โดนพี่โซยอนยื่นริมฝีปากเข้ามาจูบลาก่อนจะผละออกไป

“เจอกันนะมินนี่”

“ค่ะ อย่าสวีทกันบ่อยนักนะคะ”

“หึงพี่เหรอฮโยมิน”

อะแฮ่ม!

“สงสัยจะมีอะไรติดคอเจ้าของไร่ เรารีบไปกันเถอะโซยอนนี่”

“ไปก่อนนะ”

แล้วรถตู้ก็เคลื่อนออกไปช้าๆฉันหันมายิ้มให้เธอที่ถูกลอเรนซ์บีบแก้มที่แดงด้วยฤทธิ์ไวน์ก่อนจะเดินเข้าไปกุมมือของเธอเอาไว้แล้วเราก็เดินมาถึงรถที่จอดอยู่ เธอหันไปพูดอะไรบางอย่างกับซันนี่แล้วหันมาพยักหน้าฉันจึงพาตัวเองพร้อมกับลอเรนซ์ขึ้นรถ

“เหนื่อยเหรอ”

“เปล่า”

“…………………….”

“มีอะไรหรือเปล่า”

“อะไรกัน ฉันก็พูดน้อยแบบนี้มาตั้งแต่แรก”

“…………………..”

“คู่รักคู่นั้นน่าอิจฉาพี่ว่ามั้ย”

“อย่าบอกนะว่า…”

“วับๆแว่บๆ”

แล้วนิ้วสั้นๆก็ชี้มาตรงกระจกสายตาของลอเรนซ์มองไปยังข้างทางมืดๆที่มีแสงสีเหลืองกระจายตัวอยู่ ความเร็วของรถชะลอลงก่อนที่กระจกจะลดลงตามไปด้วย

“แปลก…หิ่งห้อยยังมีอยู่อีกเหรอ”

“………………………”

“ยิ้มทำไม”

“ยิ้มไม่ได้หรือไง”

“…………………….”

“คืนที่ฉันจูบพี่ครั้งแรก”

“พูดอะไรออกมา ลอเรนซ์อยู่ด้วยนะ!”

คิกๆ

“คิสสึๆ”

“ใครสอนคะ!”

“จี้”

หุหุ

“พัค จี!”

..

“นอนนะคะ”

ฉันกำลังแอบมองสายตาอ่อนโยนที่กำลังจ้องมองไปยังเด็กน้อยที่นอนอยู่บนเตียง มันคือเตียงนอนขนาดพอเหมาะที่เธอลงมือทำด้วยตัวเองเมื่ออาทิตย์ก่อน ภาพเหมือนกับค่ำคืนนี้เกิดขึ้นมาตลอดหลายอาทิตย์ที่ผ่านมาเธอยังคงทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีที่สุด รอยจูบจากริมฝีปากเล็กๆกดเน้นลงยังแก้มของเธอซ้ำๆก่อนที่มันจะหันมาฉันไม่นานนักเด็กน้อยก็เริ่มหลับตาลงเพราะอาจจะด้วยทั้งวันที่วิ่งซุกซนไปทั่วงาน

แกร๊ก..

“มานี่!”

“อ๊ะ!ปล่อยนะ”

“อย่าสอนลอเรนซ์แบบนั้นอีก”

“อะไรกัน สอนที่ไหน”

อั่ก..

ฉันเหวี่ยงเธอลงไปบนเตียงนอนก่อนที่จะกดหัวไหล่ของคนที่กำลังดิ้นไปมาเอาไว้ แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นการคิดผิดเมื่อฉันมองเห็นสายตาของคนที่นอนอยู่ด้านล่าง รวดเร็วทันใจเมื่อฝ่ามือทั้งสองเริ่มเคลื่อนเข้ามาโอบที่เอว ระบบหายใจอยู่ในระดับไม่ปกติเมื่อฝ่ามือมันไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น

“บอกว่าอย่า…อือ”

ฝ่ามือทั้งสองข้างกดเอวของฉันให้โน้มต่ำลงก่อนที่ใบหน้าของเธอจะฝังเข้ามายังหน้าอกอย่างจงใจ ปลายจมูกเคลื่อนที่ไปทั่วจนฉันต้องยอมปล่อยมือที่ยึดเอาไว้ออกจากหัวไหล่แล้วโน้มตัวเข้าไปหาจนได้ สองแขนนั่นเปลี่ยนมากอดรัดในขณะที่เธอทิ้งแก้มข้างหนึ่งแนบไว้ที่หน้าอก แต่ที่แปลกไปก็คือเสียงผอนลมหายใจที่ดังยาวออกมา

“ขอโทษนะ”

“……………………..”

“ถ้าไม่กับฉันพี่ก็คง…”

“พัค จี”

“ง่วงจัง”

เธอเอื้อมมือไปหาโคมไฟก่อนที่จะปิดมัน เหลือเพียงแสงไฟจากหน้าต่างที่ลอดเข้ามาและสายลมเย็นๆที่พัดผ่านเข้ามาด้วยทำให้ฉันยกผ้าห่มขึ้นมาห่มเอาไว้และก็ไม่ลืมที่จะเผื่อแผ่หาอีกคนอย่สงเช่นทุกครั้ง

“ขอโทษเรื่องอะไร”

“………………….”

“หลับแล้วเหรอ”

แล้ววงแขนที่ดึงฉันเข้าไปกอดเอาไว้ก็ทำให้ฉันยิ้มออกมา เปลือกตาปิดลงเมื่อฉันรู้สึกได้ถึงริมฝีปากที่กดแนบเข้ามาที่มุมปาก สัมผัสแผ่วเบาแต่ลึกซึ้งยังคงทำให้หัวใจของฉันสั่นไหวได้ทุกเมื่อและก็อดไม่ได้ที่จะเป็นฝ่ายตอบรับกลับไปบ้าง

“ขอโทษเรื่องอะไร บอกได้หรือยัง”

“เปล่าหรอก นอนเถอะ”

“…………………….”

“ฉัน-อยากให้พี่โชคดีแบบผู้หญิงคนนั้น”

“หื้ม?”

“……………………”

“จียอนอ่า ถ้าหมายถึงเรื่องแต่งงาน”

“…………………..”

“เงยหน้าขึ้นมา”

“………………..”

“ขอมองหน้าชัดๆหน่อยได้มั้ย”

“อื้อ…ปล่อยนะ”

“กอดฉัน”

“หื้ม?”

“บอกให้กอด”

แววตาที่บ่งบอกถึงความไม่เข้าใจบางอย่างฉายชัดแต่ก็ไม่ได้ขัดใจเมื่อแขนข้างหนึ่งจึงดึงฉันเข้าไปกอดเอาไว้หลวมๆจนฉันเองรู้สึกได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นเร็วที่แนบลงกับต้นแขนแต่ไม่นานฉันก็เป็นฝ่ายที่พลิกตัวขึ้นไปก่ายบนตัวของเธอ จดจ้องสีหน้าที่ดูกังวล ไล้ปลายนิ้วไปยังพวงแก้มแดงๆ และสันจมูกสูงตรง ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจกับทุกอย่างที่เป็นเธอจนกระทั่งริมฝีปากที่ฉันหวงแหนที่ตัวเองกำลังแสดงความเป็นเจ้าของ เพียงขยับแผ่วเบารับความนุ่มนวลหัวใจของฉันก็กระตุกรัว

“ที่เป็นแบบนี้เพราะเรื่องนั้น?”

“……………………….”

“ตอบสิคะ”

“ขอโทษที่แต่งงานด้วยไม่ได้ ขอโทษที่..”

ปลายนิ้วยกขึ้นสัมผัสริมฝีปากที่กำลังขยับให้มันหยุดลงก่อนที่ฉันประครองใบหน้าที่เบี่ยงหลบสายตาให้หันมาตรงๆ

“สิ่งสำคัญที่มากไปกว่าการแต่งงานคืออะไร เคยรู้มั้ย”

“เข้าห้องหอเหรอ”

ป๊าบ!

อ๊ะ!!

ถึงแม้จะมีรอยยิ้มเจือจางบนใบหน้าแต่แววตาแบบนี้ก็ยังคงฉายชัดหลังจากที่ฉันฟาดฝ่ามือลงไปยังต้นแขนของเธอ

“ผู้หญิงทุกคนใฝ่ฝันว่าตัวเองจะได้แต่งงานกันทุกคนนั้นแหละ”

“จะว่าอย่างนั้นก็ถูก”

“เห็นไหม ฉันบอกพี่แล้ว”

“แต่สิ่งที่ผู้หญิงทุกคนต้องการจริงๆ คือการที่คนรักอยู่เคียงข้างเรามากกว่า อยู่เคียงข้างกันแม้ในยามทุกข์ยาก แบ่งปันความสุขให้กันและกัน และที่สำคัญมากกว่าสิ่งใดคือความซื่อสัตย์”

“………………………”

“ถ้าได้แต่งงานออกหน้าออกตาแล้วสามีไปมีเมียน้อย สู้ไม่แต่งยังดีเสียกว่า”

“………………………”

“สิ่งที่ฉันต้องการมันก็เหมือนกับที่เธอเองต้องการนั่นแหละ เลิกคิดอะไรให้มากความได้แล้ว”

“ต้องการอะไร”

“ยิ้มให้ฉันในทุกๆวันและกอดฉันไว้ในทุกๆคืน”

“มันก็ไม่สมบูรณ์แบบอยู่ดี”

“ชีวิตฉันสมบูรณ์แบบและเป็นสุขเมื่อมีเธอ”

“…………………….”

“เพราะเป็นเธอฉันถึงโชคดีกว่าใคร”

“……………………..”

“จำไว้แค่นี้จะได้มั้ย”

..

เป็นเช้าที่สดใสเมื่อแสงแดดอ่อนๆสาดผ่านเข้ามาจากกระจกรถที่เราขับผ่านเส้นทางเข้าไปยังในเมืองโดยสารถีก็ยังคงเป็นเธอคนเดิม เสียงฮัมเพลงเบาๆทำให้เราหันมาสบตาก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆให้แก่กัน เธอบอกว่าจะเข้าไปส่งฉันที่โรงแรมอย่างเช่นทุกครั้งและจะแวะเข้าไปหาพ่อของตัวเองเพื่อคุยธุระเกี่ยวกับน้ำหอมที่เพิ่งจะเปิดตัวไปเมื่อไม่นาน จากนั้นเธอก็จะใช้เวลาทั้งวันเพื่ออยู่ที่ร้านน้ำหอมเพื่อเคลียร์บัญชีของสามเดือนหลัง จนกระทั่งรถเข้ามาจอดที่หน้าโรงแรมฉันเอื้อมมือเข้าช่วยติดกระดุมเสื้อเชิ้ตของเธอให้เรียบร้อยก่อนจะฝากริมฝีปากเอาไว้ที่แก้มอย่างที่เคยทำอยู่เสมอ แต่มันก็ยังคงไม่เป็นไปตามที่คิดเอาไว้เมื่อเธอดึงฉันเข้าไปจูบและก่อนที่จะเลยเถิดไปมากกว่านี้ฉันก็ต้องรีบเตือนสติอีกคน

“เมื่อคืนยังไม่เหนื่อยอีกเหรอ”

“ไม่เลยซักนิด”

“เจอกันเย็นนี้นะคะ”

รอยยิ้มสดใสฉายอยู่บนใบหน้าทำให้ฉันนึกแปลกใจแต่ก็ไม่มีเวลาให้ใส่ใจมากนักเมื่อโทรศัพท์ในกระเป๋ากำลังเรียกร้องความสนใจ

“ไปก่อนนะ”

ปึก..

หลังจากประตูปิดลงคนขับก็บังคับให้รถยนต์เคลื่อนออกไปอารมณ์แจ่มใสรับกับแสงอาทิตย์อ่อนๆพร้อมกับปลายนิ้วที่เคาะลงพวงมาลัยอย่างอารมณ์ดี จากนั้นรถก็แล่นไปถึงห้างสรรพสินค้าที่เจ้าตัวเป็นเจ้าของร้านน้ำหอม โทรศัพท์ถูกหยิบออกพร้อมประตูรถที่ปิดลงลิฟต์เคลื่อนตัวขึ้นไปตามหมายเลขชั้นก่อนที่มันจะเปิดออก

“คุณจียอน”

รอยยิ้มจางๆฉายอยู่บนใบหน้าของพนักงานของร้านก่อนที่ขายาวๆจะก้าวเข้าไปเช็คข้อมูลบางอย่างบนหน้าคอมพิวเตอร์อย่างอารมณ์ดี ยิ้มรับกับตัวเลขที่พุ่งสูงตามยอดของสินค้าที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน นึกขอบคุณพรีเซนเตอร์คนสวยที่พ่อของตัวเองเสนอมาตั้งแต่

“จะกลับแล้วเหรอคะ”

พยักหน้าเป็นคำตอบก่อนจะส่งยิ้มที่ทำให้พนักงานสาวแปลกใจ ป้อนข้อมูลบางอย่างลงไปเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเดินออกไปยังอีกร้านที่ไม่ได้แวะเวียนเข้ามานานเสียจนแทบจำไม่ได้

“มาแต่เช้า”

“ก็มีเรื่องรบกวนพี่”

ผู้หญิงที่เป็นดีไซเนอร์ยิ้มให้ก่อนจะเดินเข้ามาหา มองดวงหน้าของคนที่ไม่มีโอกาศได้เจอมานานและยังคงรู้ใจของอีกคนว่าสาเหตุไหนที่เจ้าตัวต้องพาตัวเองมาถึงที่นี่

“เพราะคู่รักคู่นั้นสินะ”

“ไปกันเถอะ”

ดีไซเนอร์สาวสวยถูกอีกฝ่ายเดินจูงมือออกมายังร้านที่ต้องการจะมาเรื่อยๆ และเมื่อมาถึงก็ไม่รีรอที่จะเดินเข้าไปทันที

“แบบไหนถึงจะดี”

“ต้องพูดว่าแบบไหนที่ฮโยมินชอบ”

“ไม่รู้สิ”

สองสายตาจดจ้องแหวนที่วางเรียงรายอยู่ตรงหน้าอย่างพิจารณา ก่อนจะสะดุดกับแหวนวงนึงที่มีลักษณะเป็นสัญลักษณ์ของหิมะ พนักงานจึงไม่รอช้าถึงความต้องการของลูกค้าก่อนที่จะหยิบแหวนวงนั้นส่งมาให้

“เกล็ดของหิมะเหรอ”

“หลอมละลายหัวใจที่ด้านชาให้หายไป”

“อยากจะอ้วก”

“พี่ว่ามันเป็นยังไงบ้างแต่ว่า…ฉันชอบอันนี้”

“ดูเหมือนจะไม่สนใจอันอื่นแล้วนิ”

“วงนี้เท่าไหร่”

..

 ปึก…

“คุณหนู”

“พ่อล่ะ”

“ข้างในเลยครับ”

ฉันเดินเข้าไปถึงห้องทำงานของพ่อตัวเองก่อนจะรอยยิ้มสุขุมที่ฉายเรียบอยู่บนใบหน้า แต่ก็ไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่นักเมื่อรู้ดีว่าเรื่องไหนที่ทำให้พ่อของตัวเองสามารถยิ้มออกมาได้ขนาดนี้เพราะทั้งหมดก็คงไม่พ้นพรีเซนเตอร์น้ำหอมคนนั้น

“มาพอดีเลย”

“คะ?”

“ดูเหมือนว่าลูกจะอารมณ์ดีนะ”

“ไม่ใช่เรื่องเดียวกับพ่อหรอกค่ะ”

“……………………”

“แล้ววันนี้มีอะไรพิเศษหรือเปล่า ปกติก็ไม่ได้ให้ออกมา..”

“เที่ยงนี้นัดคุยกับหนุูเจส”

“เรื่อง…”

“ขอบคุณเธอซักหน่อย”

“ไม่ได้จำเป็นซักนิด … ถ้าไม่มีอะไรแล้วหนูขอตัว”

“เฮ้…จะไม่เลี้ยงส่งท้ายเธอหน่อยหรอก”

“อะไรนะคะ”

“อะไรกันนี่ลูกไม่รู้เหรอ คิวรีกับเจสสิก้าจะโกอินเตอร์อย่างเป็นทางการแล้วนะ”

แล้วร้านอาหารที่ชอบมาบ่อยๆกลางใจเมืองก็ถูกเลือกให้ฉันกับพ่อเดินเข้ามาในขณะที่มีผู้หญิงที่ถูกเอ่ยถึงมารออยู่แล้ว เธอลุกขึ้นโค้งให้กับพ่อของฉันในขณะที่ฉันเพียงเดินเข้าไปนั่งด้านในก่อนที่จะตามด้วยพ่อปิดท้าย

“ปารีส?”

“แน่นอน”

“ดีใจด้วยนะแล้วก็ต้องขอโทษที่เข้าใจผิดเรื่องผู้ชายที่ชื่อดีแลนด์”

“เรื่องเล็ก….ขอบคุณที่ดูแลลอเรนซ์อย่างดี แต่ไม่ได้หมายความว่าจะยกให้ตลอดไปหรอกนะ”

“รู้แล้วละน่า”

“ขอบคุณคุณอามากนะคะ”

“เราก็เหมือนครอบครัวเดียวกัน เพราะตอนนี้ลอเรนซ์เป็นลูกสาวฉันอีกคน”

“……………………..”

“อีกอย่างหนูเองก็เคยสนิทกับลูกสาวฉันมาก”

“พ่อคะ”

“เพราะฉะนั้นจงจำไว้หนูยังมีญาติอยู่ที่นี่”

“ขอบคุณมากนะคะ สำหรับทุกอย่าง จนถึงตอนนี้หนูเองก็ยังเชื่อว่าในความโชคร้ายก็ยังพอมีความโชคดีปนอยู่ด้วย”

“………………………”

“ฝากลอเรนซ์ด้วยนะคะเมื่อถึงเวลาหนูจะกลับมาดูแลเธอเอง”

“ได้ยังไงกัน ลอเรนซ์เป็นลูกสาวของฉัน!”

“จียอนอ่า”

ฉันยกมือขึ้นมากอดอกอย่างหงุดหงิดเพราะรอยยิ้มของพ่อตัวเองจากนั้นพนักงานเสริ์ฟของร้านก็เดินเข้ามาพร้อมกับอาหารพอดีและมันก็ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจจากเรื่องทั้งหมดได้ การรับประทานอาหารร่วมกันและการเอ่ยถามถึงวงการแฟชั่นที่ฉันไม่ค่อยถนัดก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งเวลาผ่านไปซักพัก

“จะไปเมื่อไหร่”

“อีกสามวันน่ะ”

“โชคดีนะ”

อีกคนยิ้มและดูเหมือนว่าจะถึงเวลาที่สมควรมากแล้วเราจึงพากันเดินออกมาอยู่ที่หน้าร้านหลังจากอีกคนกล่าวลาและรับรถจากพนักงานของร้านแล้วขับออกไป ฉันก็หันมายิ้มให้กับพ่อตัวเองก่อนจะเดินนำไปยังรถที่จอดรถอยู่ มันแล่นกลับไปยังบริษัทในขณะที่สัญญาณจราจรนั้นทำให้ต้องหยุดรอ

“วันนี้ลูกดูอารมณ์ดีจริงๆนะ”

“เพราะกำลังจะมีเรื่องดีๆ”

“ฮโยมิน?”

ฉันพยักหน้าเป็นคำตอบก่อนจะหยิบกล่องกำมะหรี่สีครีมออกมาให้กับพ่อของตัวเอง มันถูกเปิดออกพร้อมกับสายตาที่กำลังพิจารณา แต่รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของพ่อตัวเองหายไปโดยที่ความแปลกใจที่เกิดขึ้นก็ชวนให้ไม่ยอมอยู่นิ่ง

“ทำไมเหรอคะ”

“การรอคอยจะทำให้ลูกเห็นคุณค่าของคนที่เรารักมากขึ้น”

 

000

 

“ตกลงทุกอย่างเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย”

“………………….”

“ฮโยมินอ่า”

“ขอเวลาอีกซักหน่อยนะคะ”

“แต่เราเหลือเวลาอีกไม่มาก”

“…………………”

“ฮโยมิน…นี่ใช่ว่าจะห่างจนไม่ได้เจอ”

“ขอเวลาอีกหนึ่งอาทิตย์”

“แต่นี่เกินมาสองอาทิตย์แล้ว…ถ้าอย่างนั้นปู่จะจัดการเรื่องนี้เอง”

“ไม่นะคะ…หนูจะบอกจียอนเอง”

“วันนี้?”

ความเงียบที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำจิตใจของคนถูกบังคับให้เลือกสงบนิ่งได้เลย แต่จะพูดว่าถูกบังคับก็เห็นว่าจะไม่ถูกต้องไปเสียหมดเพราะนี่เป็นโอกาสที่คุณปู่หยิบยื่นมาให้ด้วยความหวังดีและมันก็ไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝงเหมือนครั้งๆก่อน งานบริหารโรงแรมที่ฮ่องกงน่าจะเป็นการเบิกเส้นทางของทายาทธุรกิจท่องเที่ยวและตัวฉันเองก็จะทำให้คุณปู่ภาคภูมิใจไม่น้อยถ้ารายชื่อของฉันติดอยู่ในอันดับนักธุรกิจที่อายุยังน้อย ก็แค่สองปีและมันจะไม่นานกว่านั้นถ้าฉันตั้งใจอย่างจริงจัง

“เจ้าของไร่นั่นฉลาดพอ คงจะไม่เอาความสุขส่วนตัวมาตัดโอกาสของหนูหรอกปู่รู้”

“แต่มันยาก…ยากที่จะพูด”

“ปู่ว่าเธอจะต้องเข้าใจ”

“…………………..”

“บอกจียอนซะนี่ก็เหลือเวลาอีกไม่มาก”

.

 ปึก…

.

“พัค จี!”

เสียงวัตถุบางอย่างที่ตกลงบนพื้นทำให้ฉันและคุณปู่ต้องหันไปมอง แต่คนที่ยืนอยู่ที่บานประตูตรงหน้าทำให้หัวใจของฉันกระตุกวูบและยิ่งได้เห็นแววตาแบบนั้นก็ทำให้ฉันทำอะไรไม่ถูก แต่ละก้าวที่เดินเข้ามาเริ่มสร้างความอึดอัดฉันไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากประโยคไหนก่อนทว่าอีกฝ่ายนั้นได้ยินเรื่องราวที่ฉันได้คุยกับคุณปู่ไปก่อนหน้า

“จี…จียอนอ่า”

“เพราะเรื่องนี้ใช่มั้ยที่ทำให้พี่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ”

แววตาตัดพ้อที่เห็นอยู่ตอนนี้ทำให้ฉันก้าวเข้าไปหาและหวังจะอธิบายเรื่องราวบางอย่างให้อีกคนเข้าใจแต่ทว่าเมื่อยื่นมือออกไปหาคนตรงหน้ากลับถอยหนี

“จะไปเมื่อไหร่”

“……………………….”

“ถามว่าจะไปเมื่อไหร่!”

“อ..อาทิตย์หน้า”

“แล้วคิดจะบอกฉันตอนไหน”

“คือฉัน…”

“ไหนว่าเราคุยกันได้ทุกเรื่อง”

“นี่เป็นโอกาสให้ฮโยมินได้พิสูจน์ตัวเองและอีกอย่างเพื่ออนาคตเพื่อ…”

“ถ้าคุณปู่ต้องการพิสูจน์บางอย่างที่เกี่ยวกับหนูไม่เห็นจะต้องใช้วิธีนี้”

“ถ้าความรักในแบบที่ว่าของเราสองคนมั่นคงจริงจังก็ไม่เห็นต้องกลัวอะไร”

“ที่แท้คุณปู่ก็….”

“สุดท้ายก็ไม่ไว้ใจอยู่ดีสินะ”

“เข้าใจถูกแล้วพัค จียอน ก็แค่สองปีถ้าความรักที่ว่านั่นเป็นของจริงเธอจะกลัวอะไร”

“!”

“……………………..”

“จะไปไหน”

“ปล่อยฉัน..”

“จียอนอ่า”

“บอกให้ปล่อยไงเล๊า!”

อ๊ะ!

“ฮโยมินอ่า”/”มินนี่!”

“จียอนฟังก่อน ฟังฉันก่อน!”

.

.

.

.

.

.

TBC.

Adore you #39

แสงแดดทอประกายโลมเลียแปลงองุ่น…สายลมเย็นเอื่อยแต่ไม่ได้หนาวเย็นเท่าฤดูหนาวคงเป็นเพราะถึงเวลาผันเปลี่ยน..เสียงเจื้อเจี้ยวของเหล่าลูกหลานคนงานถือเป็นสิ่งที่สร้างบรรยากาศให้ไร่กุหลาบที่เคยเงียบเหงากลับมามีสีสันอีกครั้งแต่ทั้งนี้ภูเขาเขียวครึ้มที่ทอดยาวขนานกับทุ่งหญ้าที่อยู่ไกลออกไปก็ยังคงความสงบของไร่แห่งนี้เอาไว้

รอยยิ้มจางบนใบหน้าที่เรียบนิ่งของผู้เป็นเจ้าของอาณาจักกว้างใหญ่แห่งนี้กลับมาปรากฏแก่สายตาของเหล่าคนงานที่ต่างกำลังทำหน้าที่ของตัวเองอีกครั้งเพราะบนรถเอทีวีมีผู้หญิงที่สามารถสร้างรอยยิ้มสดใสพวกนั้นนั่งอยู่ด้วย พร้อมเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่ยืนเกาะหลังคนขี่ด้วยท่าทางที่กำลังตื่นเต้นกับของเล่นคันใหม่ที่มีผู้ใหญ่ที่รับอุปการะตัวเองบังคับให้มันเคลื่อนผ่านไปตามทางดินที่มีแปลงองุ่นขนานนาบทั้งสองข้าง

สายตาของผู้ถือครองทอดมองอาณาจักรกว้างใหญ่ไปจนถึงตีนเขาที่อยู่ไกลออกไป แปลงกุหลาบที่ผ่านพ้นสร้างความสดชื่นและเป็นของขวัญแก่สายตาอย่างพึงพอใจรถกะบะคลาสสิคที่เพิ่งจะถูกเปลี่ยนโฉมเป็นสีฉูดฉาดตามความต้องการของบุคคลที่เป็นเหมือนหัวใจของเจ้าของไร่จอดนิ่งพร้อมคนงานที่มีหมวกปีกกว้างปิดบังใบหน้าจากแสงแดดกำลังขนย้ายกล้ากุหลาบไปยังกะบะหลังจนเกือบเต็ม สายตาไม่ได้มองผิดเพี้ยนเมื่อสังเกตุเห็นว่าวตัวหนึ่งที่กางปีกกระจายล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าตามแรงลม

จากนั้นไม่นานรถเอวีทีที่ถูกซื้อมาเพื่อรองรับกิจกรรมผาดโผนแก่นักท่องเที่ยวก็เคลื่อนข้ามรั้วที่เคยวางกั้นระหว่างไร่กุหลาบกับไร่ลอเรนซ์เข้ามาแต่ในตอนนี้มันถูกสร้างเป็นรีสอร์ทตามความต้องการของเจ้าตัวแล้วที่เรียงรายอยู่บนพื้นที่ต่างระดับสีเขียวนั่นก็คือบ้านพักหลายสไตส์ที่ถูกสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว และสิ่งที่ตั้งเด่นตะหง่านสะดุดสายตาอยู่นั่นก็คือประภาคารหอสูงเกือบ 20 เมตรที่ระบายด้วยตราสัญลักษณ์ไร่กุหลาบอย่างเป็นทางการที่ให้ใครบางคนช่วยออกแบบเอาไว้

“เห็นหอคอยแบบนี้แล้วพี่อยากเป็นราพันเซลบ้างมั้ย”

“แล้วจะปีนขึ้นไปหาหรือเปล่าล่ะ”

“ลอเรนซ์อยากเป็นราพันแซว”

คิกๆ

“ราพันเซลค่ะราพันเซล”

“แล้วลอเรนซ์สวยเหมือนราพันเซลมั้ยคะ”

“หืม?”

“ก็จี้ชมพี่คนสวยว่าสวย”

“ชมตอนไหนคะ?”

“ก็ตอนกลางคืน”

“…………………….”

“ยิ่งดึกๆ”

“อะไรนะ!”

คิกๆ

“ทั้งคืนเลยลอเรนซ์ได้ยิน”

ป้าบ!!!

“ตีฉันทำไม!”

“เพราะเธอคนเดียวบอกให้หยุดก็ไม่ยอม…”

“ก็ชอบใส่ชุดนั้นบ่อยๆใครจะอดใจไหว”

“มันคือชุดนอน…ไม่รู้แหละคืนนี้ฉันจะนอนกับลอเรนซ์”

“แล้วฉันล่ะ”

“แบ่งกันแบ่งลอเรนซ์ด้วย…คิกๆ

ฉันยิ้ม…เพราะสองแขนสั้นที่โอบกอดจากด้านหลังเข้ามาหาลำคอก่อนที่แก้มข้างหนึ่งจะรู้สึกถึงริมฝีปากเล็กๆของลอเรนซ์ เด็กน้อยมักทำแบบนี้อยู่เสมอโดยเฉพาะในคราวที่เจ้าตัวร้องขออะไรบางอย่าง จนสุดท้ายฉันก็บังคับรถประหลาดคันนี้เข้ามาจอดที่หน้าอาคารประกอบที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นพื้นที่ในส่วนของการต้อนรับนักท่องเที่ยวของรีสอร์ทเดินนำเข้าไปด้านในขณะที่มีเธอจูงมือลอเรนซ์ตามเข้ามา

เห็นใครบางคนที่ต้องมาหานั่งอ่านเอกสารบางอย่างอยู่ในมือที่โซฟา กรอกสายตาไปยังบริเวณรอบๆรู้สึกพึงพอใจกับการตกแต่งภายในทุกอย่างแต่เอ๊ะนั่นมัน…

“จีอึน!”

“เรียกซะดัง”

“นี่น้ำพั้นช์สูตรของรีสอร์ท…ของเธอ”

“……………………..”

“อะไรทำไมมองแบบนั้น”

“ทำไมถึงอยู่ยังที่นี่”

“ผู้ช่วยผู้จัดการรีสอร์ท”

“ผู้ช่วยซุนคยู?!”

“ให้เงินเดือนฉันเท่าไหร่ดี”

“………………………..”

“กาตกแต่งภายในทั้งหมดฝีมือฉันคงต้องเรียกสูงๆ”

“เท่าที่เธอต้องการบอกมาได้เลย”

ฉันนั่งลงก่อนที่จะแย่งเอกสารในมือของซุนคยูมาอ่าน พิจารณารายละเอียดของวันเปิดรีสอร์ทอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง เหลือบตาขึ้นมองสายตาตำหนิที่เธอส่งมาให้กับมารยาทที่ดีในการแย่งของออกมาจากมือคนอื่นโดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาติ..แล้วเธอก็นั่งลงและยกแก้วพั้นช์สีสวยขึ้นมาให้ลอเรนซ์ดื่ม

“ฉันชอบหอคอยนั่นมาก”

“ออกมาตามแบบเป๊ะทุกตางรางนิ้ว”

“แล้วลิฟต์ใช้งานได้หรือยัง”

“แน่นอนค่ะพร้อมให้คุณหนูทดสอบวันนี้เลย”

“ตามแบบทุกอย่างเพราะแบบนี้คุณพ่อถึงชื่นชมสินะ”

“นั่นฝีมือของคุณหนู”

“พัค จี เป็นคนออกแบบงั้นหรือ”

“ใช่ค่ะคุณฮโยมิน”

“โอ้ว..ไม่น่าเชื่อจะมีหัวทางด้านนี้”

“สีสันของกุหลาบ สูตรน้ำหอม รีสอร์ทแห่งนี้  เป็นฝีมือของคุณหนูทั้งหมด”

“พูดเว่อร์ชักรำคาญ”

“คุณฮโยมินโชคดีที่ได้คุณหนูเป็นสามี”

“ว่าไงนะ!!!”/”วันนี้ซุนคยูพูดจาเข้าหู”

“…………………………..”

“อารมณ์ดีขึ้นแล้ว”

“ซันนี่พูดอะไรของเธอ”

“ก็แค่พูดตามความจริงน่ะค่ะพี่ฮโยมิน”

“ไอยูก็อีกคน”

คิกๆ

“วันนี้อารมณ์ดีไปกินข้าวที่บ้านต้นไม้ด้วยกันสิ”

“อะไรนะ!!!”

“โอ้ววว ฟ้าถล่มแน่”

“คุณหนูชวนทานข้าวเย็น”

“ก็แค่ไม่อยากให้พลาด ฮโยมินของฉันทำอาหารอร่อยมาก”

“……………………..”

“เธอเคยบอกว่าจะทำอาหารมากขึ้นเมื่อมีสามี”

“จียอนอ่า”

“ตอนนี้เธอทำทุกวันเลย ฉันโชคดีจริงๆ”

จากนั้นการ์ดเชิญตัวอย่างวันเปิดรีสอร์ทก็ถูกยื่นออกไปให้ซุนคยูกับจีอึนมันเป็นฝีมือของเธอที่บอกว่าจะช่วยออกแบบให้ในขณะที่ฉันก้มจดข้อมูลบางอย่างลงไปในกระดาษจนแล้วเสร็จก่อนจะส่งคืนให้ซุนคยู ยกน้ำที่จีอึนขึ้นมาจิบพึงพอใจกับรสชาติแปลกใหม่ไม่น้อย

“เป็นยังไงบ้าง”

“ดูเก๋มากเลยค่ะพี่ฮโยมิน”

“ซุนคยูว่าไง”

“สวยมากเลยค่ะ”

อะแฮ่ม!

“อะไรติดคอเหรอจีอึน”

“เปล่านิ”

“งั้นไปกันเถอะ”

“ไปไหน?”

“บ้านต้นไม้”

“ไปสิ!”

..

“พักผ่อนบ้างเถอะ”

“รู้แล้วน่า..”

“ถ้ายังไม่หยุดวางปากกาตอนนี้ล่ะก็”

“………………………”

“ฮัม!”

“ลงไปทานข้าวได้แล้ว”

ฟู่ววว

ฉันพาตัวเองเดินออกมาจากห้องสมุดก่อนที่จะตรงไปยังโต๊ะอาหารที่มีอาหารหลากหลายจัดวางเอาไว้ ความแปลกใจยังคงเกิดขึ้นก่อนที่ฉันจะหันไปหาคนที่เดินนำเข้ามาก่อน เก้าอี้ถูกเลื่อนออกอย่างเอาใจพร้อมกับตำแหน่งที่อีกคนนั่งลงเปลี่ยนมาอยู่ข้างๆ ฉันรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นผู้ป่วยที่เพิ่งจะออกมจากโรงพยาบาลอย่างไรอย่างนั้น เมนูถูกใจหลายอย่างถูกตักลงในจานจนฉันอดไม่ได้ที่จะหันไปหา

“ไปทำอะไรผิดมาหรือเปล่า”

“ฉันเป็นคนที่ไว้ใจได้”

“แล้วเคลียร์กับดีไซเนอร์เรียบร้อยแล้วใช่มั้ย”

“ไม่เห็นต้องเคลียร์ในเมื่อมันไม่มีอะไรมาตั้งแต่ต้น”

“แน่ใจนะ”

“ไม่เคยแน่ใจเรื่องไหนเท่านี้มาก่อน”

“แล้วเลขาหน้าห้องคนนั้น”

“โธ่…โซยอนนี่เห็นฉันเป็นคนแบบไหนกัน”

“ก็เธอมันชอบอ้อร้อไปเรื่อย อย่าคิดนนะว่าช่วงที่เธอไม่ได้อยู่เกาหลีฉันจะไม่รู้ความเคลื่อนไหวของเธอ”

“นี่ฮโยมินบอกพี่งั้นเหรอ”

“ยัยมินนี่มีอะไรก็บอกฉันหมด”

“แล้วนี่พี่บอกเรื่องงานที่ฮ่องกงกับฮโยมินหรือยัง”

ช้อนในมือชะงักเอาไว้แค่นั้นเมื่อคำถามที่ว่าถูกเอ่ยออกมาจากฮัม อึนจองที่กำลังจดจ่อรอคำตอบ การขยายสาขาของโรงแรมดูเหมือนว่าจะเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและรวดเร็วกว่าที่คิดเอาไว้ การไปๆมาๆของน้องสาวตัวเองที่อยากจะช่วยงานที่โรงแรมดูเหมือนว่าจะถูกความต้องการที่แท้จริงภายในข่มทับเอาไว้ ถึงแม้เจ้าตัวจะเอ่ยปากพูดเองว่าสามารถไปๆมาๆได้อย่างสะดวกแต่การตั้งใจทำงานล่วงหน้าอย่างหนักก็ทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเห็นใจน้องสาวคนเล็กของครอบครัว

“ถ้าเจ้าของไร่รู้คงตลกน่าดู”

“อึนจอง!”

“อ่าๆ รู้แล้ว จะว่าไปถ้ารู้พี่ว่าเธอจะยอมหรือเปล่า”

“สายการบินของเธอสามารถพาสองคนนั้นเจอกันได้บ่อยๆ”

“มันไม่เหมือนกันซักนิด สู้นอนกอดกันทุกคืนแบบฉันกับพี่ไม่ได้เลย”

“อึน-”

เห้อ…

00

“อยู่เฉยๆได้มั้ย”

“ทำไมตัวพี่ถึงหอมขนาดนี้นะ”

“รู้อยู่แล้วว่าซันนี่คอแข็งระดับไหนยังจะไปรับคำท้านั่นอีก”

“เพราะรู้ถึงรับ…”

“เมาแล้วก็เป็นแบบนี้ทุกที…อือ

อีกคนยิ้มอย่างสุขใจพร้อมฝ่ามือที่ลูบวนอยู่กับหัวไหล่ของฉันหลังจากละริมฝีปากออกไปจากลำคอ อากาศเย็นสบายหลังจากผ่านฤดูที่แสนเหน็บหนาวกลุ่มดาวทอแสงระยับแข่งขันกับดวงอื่นๆที่กระจายตัวบนท้องฟ้า ฉันซุกหน้าเข้าหาอกอุ่นๆของผู้เป็นเจ้าของอาณาจักรกว้างใหญ่แห่งนี้อย่างที่เคยชอบทำบ่อยๆ พึงพอใจอยู่กับปลายนิ้วที่เกี่ยวเล่นอยู่กับเส้นผมของตัวเองทั้งที่ปากเอ่ยห้ามการกระทำทั้งหมดเอาไว้แต่ภายในลึกๆแล้วฉันกลับชอบมันมากที่สุด เปลือกตาปิดลงเมื่อรู้สึกได้ถึงริมฝีปากจากคนที่เป็นเหมือนชุดเกาะอบอุ่นที่โอบกอดฉันเอาไว้ เรานอนอยู่ที่ระเบียงไม้ด้านนอกที่มีภูเขาและทุ่งหญ้ากว้างใหญ่โอบล้อมและทิ้งน้ำหนักลงยังเก้าอี้ตัวใหญ่หนานุ่มที่อาสาทำหน้าที่รองรับร่างกายของเราสองคนเอาไว้

“ฉันมีความสุขมากเลยรู้มั้ย”

“………………………”

“ไวน์รสชาติเยี่ยมกับผู้หญิงที่งดงามในอ้อมกอดตรงนี้”

“……………………..”

“ไร่กุหลาบที่ฉันสร้างมันขึ้นมากับมือรวมถึงลอเรนซ์ที่เปรียบดั่งลูกสาวของเรา”

“…………………….”

“ชีวิตต่อจากนี้ฉันขอแค่อย่ามีอะไรเปลี่ยนไปก็พอ”

ประโยคยืดยาวที่เอ่ยออกมาจากปากของคนที่ฉันนอนซุกตัวอยู่สามารถสร้างรอยยิ้มออกมาได้อย่างง่ายดาย ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองสองแก้มที่แดงซ่านไปด้วยฤทธิ์ไวน์ ฉันเห็นแววตาเคลิ้บเคลิ้มที่เต็มไปด้วยความสุขใจที่เอ่อล้น จนทำให้ฉันยากที่จะพูดเรื่องบางอย่างที่เก็บแอบเอาไว้ในใจออกไป

“เป็นอะไรทำไมทำหน้าแบบนั้น…ไม่มีความสุขที่ได้อยู่กับฉันเหรอ”

“ไม่เลย…มีความสุขมากต่างหาก”

“ร…ร้องไห้ทำไม!”

“ขอบคุณนะ ขอบคุณที่มอบความรัก ขอบคุณที่ดูแลและใส่ใจกันมาตลอด”

“ฉันไม่ชอบ-เห็นน้ำตาของพี่…อย่าร้อง”

ปลายนิ้วที่เกลี่ยลงบนผิวแก้มทำให้ฉันไม่สามารถบังคับหยดน้ำตาให้หยุดไหลได้เลยซักนิด รู้ดีว่าไม่ควรจะมาร้องไห้ฟูมฟายแบบนี้เพราะพรุ่งนี้เป็นวันสำคัญของเธอและทุกคนในไร่แห่งนี้ วันสำคัญที่สวรรค์บนดินแห่งนี้จะเป็นที่รู้จักของทุกคนและในวันพรุ่งนี้ฉันต้องเป็นนายหญิงที่สวยที่สุดอย่างที่เธอบอกไว้

“งานที่โรงแรมคงยุ่งมากสินะ พี่คงเหนื่อยที่ต้องไปๆมาๆ บางทีถ้าไม่ไหวจริงๆพี่ควรจะนอนค้างที่บ้านจะดีกว่า ช่วงนี้ดูผอมลงด้วยรู้ตัวหรือเปล่า แล้วถ้าฉันโกรธคุณปู่พี่จะว่าฉันไหมพักหลังมานี่ท่านใช้งานหลานสาวคนนี้หนักเกินไปจริงๆ”

“ถ้าไม่กลับมานอนที่ไร่ก็กลัวจะมีบางคนนอนไม่หลับน่ะ”

รอยยิ้มมุมปากที่เห็นอยู่ตอนนี้ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีเลยซักนิดเพรราะรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นรอยยิ้มที่ใช้กลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้ เธอเงยหน้าขึ้นมองกลุ่มดาวบนท้องฟ้าก่อนที่จะพ่นลมหายใจที่ปนด้วยกลิ่นไวน์ออกมากับช่วงเวลาในพักหลังที่เธอเองไม่ได้มีอ้อมกอดของฉันคอยโอบกอดเธอเอาไว้จนหลับไปอย่างที่ควรจะเป็น

“คนเรามีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ…ทำไมฉันจะไม่รู้”

“ต่อไปไม่ต้องขับรถจากไร่ไปรับฉันทุกวันหรอกนะคนรถก็มี..แค่งานในไร่นี่ก็ทำให้เหนื่อยตัวแทบขาด…ฉันรู้”

“เห็นหน้าพี่แล้วมันทำให้หายเหนื่อย แต่เอ๊ะรึจะเหนื่อยกว่าเดิมด้วยซ้ำ”

คำพูดที่บ่งบอกความหมายที่มากกว่าทำให้ฉัยหลบตาต่ำลงสองแก้มร้อนผ่าวเพราะสายตาวิบวับที่ฉายออกมา นิ้วมือที่ยกเชยปลายคางทำให้ฉันต้องเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเธออย่างเลี่ยงไม่ได้ จดจ้องใบหน้าสวยๆที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ที่ใครหลายคนไม่เคยปฏิเสธได้ ฉันยอมรับว่าตัวเองหลงใหลตัวตนของคนตรงหน้า ยอมรับอีกว่าภูมิใจอยู่ไม่น้อยเมื่อตัวเองได้เป็นเจ้าของคนๆนี้ทั้งหัวใจและร่างกาย พึงพอใจกับมันทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นคำพูดอ่อนหวานที่น้อยคนจะเคยได้ยิน สัมผัสอ่อนโยนที่โอบอุ้มด้วยความต้องการที่จะทะนุถนอมดั่งเป็นสิ่งมีค่าที่ห้ามใครก็ตามเข้ามาแตะต้อง หรือไม่ว่าจะเป็นบทบาทที่ดุเด็ดเผ็ดร้อนถึงใจตามความปรารถนาอย่างมนุษย์ทั่วไปไม่อาจควบคุมไว้ได้ แต่ที่สุดแล้วความรักที่มีมอบให้มานั้นต่างหากที่ทำให้ฉันไม่อยากพาตัวเองออกห่างถึงแม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ก็ตาม

“เธอเป็น…เจ้าของไร่ที่สวยที่สุดเลยรู้มั้ย”

“……………..”

“แถมยังเป็นกุหลาบที่ฉันอยากจะเชยชมซ้ำๆอย่างไม่รู้เบื่อ ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าหนามแหลมคมจะทิ่มแทงให้เจ็บปวดก็ตาม”

“พี่กำลังทำให้ฉันกลัว..”

“……………….”

“พี่ทำ…เหมือนว่านี่จะเป็นความสุขครั้งสุดท้ายของเรา”

“พัค จี”

“มีอะไรปิดบังฉันหรือเปล่า”

“อย่างฉัน จะมีอะไรปิดบังเธอได้”

เพราะสีหน้าที่ดูกังวลแบบนั้น สีหน้าแบบนั้นเป็นสิ่งที่ฉันไม่อยากจะเห็น ริมฝีปากที่กดแนบลงยังส่วนเดียวกันกับของเธอจึงถูกใช้เป็นสิ่งเบนความสนใจ ถึงแม้แววตาของความกังวลจะฉายชัดแต่เพราะฤทธิ์ไวน์จำนวนไม่น้อยที่ดื่มเข้าไปจึงทำให้เธอปล่อยวางทุกอย่างเอาไว้ อือ.. เสียงครางต่ำดังเบาๆในขณะที่ฉันเป็นฝ่ายไล้จมูกเข้าหาลำคอ กลิ่นหอมแบบนี้และใบหน้าที่เคลิ้บเคลิ้มแบบนี้ทำให้หัวใจของฉันยังคงเต้นรัวอยู่เสมอ

 

ฉันจะกอดเก็บและตักตวงความสุขของค่ำคืนนี้เอาไว้ให้มากที่สุดเผื่อในเวลาที่เราต้องไกลห่าง

ฉันจะได้มีมันไว้ให้คิดถึง… 

.

.

.

.

.

.

.

.

.

TBC.

 

 

Adore you #38

สถานที่อันตรายที่เพิ่งค้นพบ *อ่างอาบน้ำวน

 

ภาพในคืนที่ผ่านมายังคงฝังลึกอยู่ในห้วงของความรู้สึก รวมถึงคำพูดที่ฟังแล้วรู้สึกดีทุกครั้ง“มันดี..มันดีมากจริงๆ” “ช.ชอบสิ..ไม่เคยมีความสุขเท่านี้มาก่อน”  แต่หลังจากนั้นเพียงแค่นึกถึง…ความร้อนก็แล่นผ่านร่างกายอีกครั้งทั้งที่อุณหภูมิภายในห้องก็เย็นช่ำแบบนี้ สองแก้มของตัวเองกำลังเห่อร้อนและรู้สึกถึงช่องท้องที่เบาโหว่ง

การขยับร่างกายเพื่อปรับเปลี่ยนท่านอนทำให้ฉันต้องนิ่วหน้าด้วยความรู้สึกบางอย่างที่แล่นไปทั่วร่างกายมันเกิดจากผลงานของใครอีกคนที่นอนหันหลังให้ฉันอย่างเสียมารยาท เสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอทำให้ฉันรู้ว่าเธอยังคงต้องการเวลาในการพักผ่อนอีกมากแต่จะให้ทำอย่างไรได้เมื่อนึกย้อนไปถึงรอยยิ้มก็ระบายออกมาบนใบหน้า…

ยินยอมและเต็มใจกันทั้งสองฝ่ายและเหมือนกับว่าเรื่องราวที่เราเคยโกรธเคืองก่อนหน้านั้นมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ฉันค่อยๆพลิกตัวหันไปหาร่างของคนที่หันหลังให้สิ่งแรกที่บ่งบอกถึงตัวตนของเธอก็คือตัวหนังสือสีดำบนแผ่นหลังด้านซ้ายที่ผ้าห่มผืนใหญ่ไม่สามารถปิดปังให้รอดพ้นจากสายตาของฉันไปได้ ทำไมจะไม่รู้ว่ารอยช้ำฝังลึกนั่นเป็นผลงานของตัวเอง..ไม่ได้อยากทำให้เจ็บแต่จะให้ทำอย่างไรได้เมื่อเธอเองเป็นคนที่ทำให้ฉันกลั้นความรู้สึกพวกนั้นเอาไว้ไม่ไหว

ขยับตัวใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันพลิกไปหาก่อนจะรู้สึกถึงร่างกายเปลือยเปล่าที่กำลังนอนตัวงอเพราะอุณหภูมิที่เย็นเกินไป สายตาของตัวเองกำลังสำรวจไปยังต้นคอด้านหลังที่เคยขาวเนียนแต่ในตอนนี้กลับเต็มไปด้วยรอยฟันของตัวเอง …ไรผมที่ปกลงมาทำให้ฉันเอื้อมมือเข้าไปจัดการกับมันให้พ้นออกไป อดใจไม่ได้เพราะร่างกายของเธอกำลังปล่อยแรงดึงดูดบางอย่างให้ฉันจรดริมฝีปากไปยังแผ่นหลังที่มีรอยสักสวยงาม

อืม…

เกิดเสียงอื้ออึงในลำคอก่อนที่เธอจะพยายามพลิกตัวมาอยู่ในท่านอนหงาย หัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันทำให้ฉันรู้ดีว่าร่างกายของเธอในเช้าวันนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากฉันมากขึ้น

“โอ้ว…รอยเต็มตัวไปหมด”

อ๊ะ..

“เจ็บเหรอ”

“ยกผ้าห่มออกทำไม…”

“อายอะไรอีกก็บอกว่าเห็นหมดแล้วทุกส่วนและก็จำได้ไม่ลืมเลย”

“ใครเขาทักทายกันแบบนี้”

“แล้วแบบไหนที่.. อ๊ะ!!”

ร่างกายถูกดึงขึ้นไปก่ายอยู่บนตัวของเธอพร้อมกับการสองแขนที่เข้าล็อคไว้กับส่วนเอวเรียบร้อย

“ชอบจัง…ตอนร่างกายของเราสัมผัสกัน”

“ชอบเฉพาะช่วงนี้สินะ…..”

“……………………………..”

“เป็นคนยังไงกันแน่!”

อื้ม…เสียงแหลมๆของตัวเองดังขึ้นแล้วก็เงียบลงเมื่อมันถูกปิดด้วยริมฝีปากที่โน้มเข้ามาใกล้ สองมือเริ่มประท้วงที่หัวไหล่ของเธอเมื่อมันเป็น morning kiss ไม่เหมือนธรรมดาทั่วไป เปลือกตาปิดลงก่อนที่จะตอบรับสัมผัสที่มากกว่าความอ่อนโยนกลับไป

อือ….

“หายโกรธแล้วใช่มั้ย”

“ซื่อบื้อ”

“ก็เพื่อความแน่ใจ…ตอบหน่อยสิคะ”

“………………….”

“ปากแข็งแบบนี้คงต้อง..”

“ห..หายแล้วๆ อื้อ…พัคจี”

สันจมูกร้ายกาจที่เข้ามาซุกตามลำคอทำให้ต้องถดตัวออกมาจาการสองแขนที่รัดแน่แต่สุดท้ายก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีประโยชน์เพราะนอกจากจะยอมอยู่นิ่งๆให้เธอได้ทำตามใจชอบแล้ว นิ้วมือของตัวยังเผลอสอดแทรกเข้าไปหาเส้นผมที่แผ่คุมหมอนใบใหญ่อย่างลืมตัว

“ขอบคุณนะ..ที่ยังรักฉันเหมือนเดิม”

“พูดตอนไหนกัน”

“ก็ทั้งคืน…”

“………………………….”

“พร้อมกับชื่อของฉัน”

“นี่!”

ใบหน้าของตัวเองกำลังเห่อร้อนเมื่อนึกย้อนไปถึงค่ำคืนที่ผ่านมา สายตาวิบวับจดจ้องจนฉันต้องรีบเลื่อนสายตาไปจากใบหน้าของเธอ หัวใจเต้นแรงพร้อมกับกำปั้นที่ทุบลงไปยังต้นแขนของเธอด้วยความเขินอายกับประโยคที่เอ่ยออกมาจากปกของเธอ

“ฮโยมินของฉัน…ร้อนแรงชะมัด”

หลับตาลงอีกครั้งเมื่อเธอยื่นพลิกให้ฉันเป็นฝ่ายนอนลงข้างล่างจมูกไล้มาเข้ามาหาลำคอก่อนที่มันจะเลื่อนลงไปหาเนินอกความร้อนเริ่มกลับมาแทรกซึมร่างกายพร้อมกับการเต้นของหัวใจที่เร็วขึ้นทุกขณะเผลอแอ่นร่างกายตอบรับสัมผัสซุกซนอย่างลืมตัว

.
.
ครืดๆ
.

ครืดๆ
.
“ร..รับโทรศัพท์ก่อนสิ”

“อือ…พัคจี”

ฟู่ววว

ระบบหายใจกลับมาทำงานในอัตราปกติก่อนที่เธอจะคว้าโทรศัพท์เอาไว้

“ค่ะพี่โซยอน”

เธอเหลือบมามองฉันที่กำลังดึงผ้าห่มเข้ามาคลุมร่างกายเอาไว้ อีกแล้วที่มองเห็นสายตาแบบนั้นพร้อมกับรอยยิ้มมุมปากจากคนที่กำลังถือสายค้างอยู่สมาธิไม่ได้อยู้กับบทสนทนานั่นเลยซักเพราะแผ่นหลังตั้งตรงของเธอนั่นดึงความสนใจไปจนหมด

“ไม่เกิน 1 ชั่วโมงน้องสาวของพี่ถึงบ้านแน่นอนค่ะ”

โทรศัพท์ถูกวางไว้อย่างเดิมก่อนที่เธอจะหันมาหา แขนที่ยื่นเข้ามากอดทำให้ฉันระบายยิ้มออกมาก่อนที่จะปัดผมที่เกะกะใบหน้าของเธอให้พ้นออกไป จดจ้องแววตาที่คิดถึงมานานจับใจ จรดริมฝีปากไปยังหน้าผากของเธอเบาๆ

“อยากอยู่แบบนี้ทั้งวัน…ทั้งคืน

“พี่โซคงจะไม่ยอมแน่”

“อ๊ะ..แล้วจะไปไหน”

“อาบน้ำ”

“ให้ฉันอาบให้ดีกว่า”

“พัค จี หยุดนะ”

“………………….”

“บอก..บอกให้ – หยุด”

ฝ่ามือที่เข้ามาไล้ลูบยังต้นขาด้านในทำให้ฉันรีบพูดบางอย่างออกไปถึงจะไม่สามารถห้ามมันให้หยุดไว้ได้ก็ตามน้ำหนักจากฝ่ามือที่กดเน้นทำให้ฉันเกือบจะยอมให้ทุกอย่างดำเนินต่อไปตามใจของเธออีกครั้งแล้วถ้ายังเป็นแบบนี้เมื่อไหร่กันละที่ฉันจะได้อาบน้ำเสียที

“จียอนอ่า!”

“อ่าๆ ก็ได้ๆ เข้าใจแล้วจะอาบน้ำใช่มั้ย”

“อือ”

“ให้ฉันอาบให้นะ”

“ถ้าให้เธออาบคงไม่ได้อาบกันพอดี…”

“……………………”

“แต่ไปส่งที่หน้าห้องน้ำหน่อยได้มั้ย”

“เดินไม่ไหวเหรอ”

“เพราะใครกันละ!”

“นั่นสินะ….เพราะใครกัน”

คิกๆ

“หยุดหัวเราะซักที!”

อ๊ะ+

“ก็จะไปอาบน้ำไม่ใช่เหรอ”

“ทำไมต้องเอาผ้าห่มออกด้วยแบบนี้ก็…”

แล้วร่างกายก็ถูกยกขึ้นโดยสองแขนที่โอบกอดฉันเอาไว้ทั้งคืนฉัอหมายความว่าร่างกายที่ไร้เสื้อผ้าของเราทั้งสองคนกำลังลุกขึ้นจากเตียงและตรงไปที่ห้องน้ำ แววตาแบบนั้นบ่งบอกถึงความไม่ปลอดภัยบางอย่างกับคำถามที่ว่าฉันจะเลือกพื้นที่ตรงไหนระหว่างอ่างขนาดใหญ่ตรงนั้นกับห้องกระจกฝักบัวตรงนี้

..

“ยังไม่มาอีกหรือ”

“โทรไปแล้วค่ะเห็นบอกว่าไม่เกิน 11 โมง”

“ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือเปล่าที่ปล่อยให้ฮโยมินอยู่กับเด็กคนนั้น”

“ไฟท์กี่โมงคะคุณปู่”

“เที่ยงน่ะ”

“ตกลงเป็นที่นั่นจริงๆเหรอคะ”

“หลานไม่ชอบที่ฮ่องกงเหรอ”

“เปล่านิคะ”

“พี่โซยอนกลัวว่าจะได้ไปประจำที่นั่นมั้งคะ”

“อึนจอง!”

เสียงแหลมๆที่ดังขึ้นทำให้ฉันอดยิ้มออกมาไม่ได้ สายตาดุๆที่เห็นอยู่ในตอนนี้ไม่ได้เป็นเหมือนคืนที่ผ่านมาเลยซักนิด ฉันมองเข้าไปในแววตาของคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามก่อนที่จะยักคิ้วให้ แล้วภาพของการถลึงตาโตๆตอบกลับมาก็เป็นภาพที่น่ารักที่สุดของเช้าวันนี้

“อึนจองอ่าวันนี้เราดูอารมณ์ดีนะ”

“คงจะเพราะได้อยู่กลับพี่สาวที่คิดถึงทั้งคืนน่ะค่ะคุณปู่”

“ฮัม..อึน”

“ดีแล้วล่ะปู่ไม่เห็นเรายิ้มแบบนี้มานานมากแล้ว”

“……………………………”

“แล้วแม่ดีไซเนอร์คนนั้นล่ะ ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นเลยนะ”

“ใครหรือคะ”

“……………………………”

“ไม่ค่อยไปไหนมาไหนด้วยกันแล้วเหรอ ปู่ก็หลงดีที่เห็นเรามีเพื่อน”

“ฮัม อึน-จอง”

“ว่างก็พาพี่เราออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างสิ…บางทีโซยอนอาจจะชอบคลับที่เราเคยไปบ่อยๆกับแม่สาวคนนั้นก็ได้”

กึก

ซ้อมในมือวางลงกระแทกจานอย่างลืมตัวก่อนที่จะฉันหลบสายตาที่จ้องเขม็งจากคนตรงข้าม ยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มเพื่อละลายเนื้อขนมปังที่ฝืดติดคอก่อนที่จะค่อยๆวางมันลงเบาๆ

“โซยอนเค้กไม่อร่อยหรือ”

“เปล่าค่ะ”

“เมื่อไหร่มินนี่ของเราจะมาซักทีนะไม่รู้ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง”

“ห่วงตัวเองก่อนเถอะอึนจอง”

บรืน..

เสียงรถยนต์ที่ดับลงเรียกความสนใจจากทุกคนบนโต๊ะอาหารก่อนที่ผู้ชายวัยกลางคนที่เป็นเลขาของคุณปู่จะเดินนำเข้ามาก่อน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคนที่เพิ่งมาใหม่น่าจะเป็นบุคคลที่กำลังถูกถามถึง จะขอบคุณที่ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจจากเรื่องของตัวเองก่อนหรือว่าจะเข้าไปจัดการกับคนหลังสุดที่เดินตามน้องสาวคนเล็กนั่นดีก่อนนะ

เพราะร่องรอยบางอย่างที่บ่งบอกถึงเหตุการณ์ที่สามารถคาดเดาได้ว่าเมื่อคืนได้เกิดอะไรขึ้นบ้างทำให้ฉันไม่สามารถปรับสีหน้าให้เป็นปกติได้ บางทีบุคคลที่น่ากลัวกว่าผู้ชายที่ชื่อดีแลนด์อาจจะเป็นเจ้าของไร่ดอกไม้คนนี้

“คุณปู่”

“ฮโยมินอ่า”

คุณปู่ลุกขึ้นยืนก่อนที่น้องสาวของเราจะวิ่งเข้าไปหาและซุกอยู่ในอ้อมกอดที่อบอุ่นและปลอดภัยอยู่เสมอ ภาพตรงหน้าชวนให้ฉันวางทุกอย่างเอาไว้ก่อนที่จะยิ้มออกไป เจ้าของไร่ที่ว่าเดินเข้ามาใกล้และนี่คงจะเป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นการแสดงความเคารพจากคนที่อายุน้อยกว่าแต่ถึงยังไงเจ้าตัวก็ยังคงรักษาความเป็นตัวเองเอาไว้โดยการปรับสีหน้าให้ดูเรียบนิ่งเหมือนหุ่นยนต์

“ฮโยมินอ่า..”

เสียงเข้มๆดังขึ้นเมื่อคุณปู่กำลังไล่สายตาไปยังใบหน้าของฮโยมินที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าถึงแม้จะมีเสื้อผ้าปกปิดเอาไว้แต่ร่องรอยที่ว่านั้นก็ไม่อาจรอดพ้นไปจากสายตาของผู้ใหญ่ได้เลยซักนิด แววตาขุ่นเคืองจึงถูกส่งต่อไปยังเจ้าของไร่ที่กำลังเงยหน้าขึ้นมาหา

“ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือคิดถูกกันที่ปล่อยให้ฮโยมินอยู่กับเธอ”

“คุณปู่คะ”

“ส่งปลาย่างให้แมวเฝ้าแท้ๆ”

“ยอมรับว่าเมื่อคืนรุนแรงไปหน่อยจริงๆ”

“เด็กคนนี้!”/ “จียอนอ่าอยู่เงียบๆเถอะน่า”

“คุณปู่คะถ้าเมื่อคืนไม่ให้จียอนช่วย…ฮโยมินต้องแย่แน่ๆ”

“หลานสาวที่ฉันเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอม”

“แต่เมื่อคืนหนูก็อ่อนโยนกว่าที่คุณปู่คิดนะคะ”

“คุณหนูพัค!”

“คุณปู่ก็รู้ว่าหนูเต็มใจยอมรับผิดชอบทุกอย่าง ได้โปรดให้โอกาสให้หนูได้ดูแลหลานสาวคุณปู่เถอะนะคะ”

“แต่หลานของฉันเป็นผู้หญิงแล้วเธอ….ก็เป็นผู้หญิง”

“เรื่องนั้นหนูไม่เถียงแต่สิ่งที่หนูสามารถการันตีได้นั่นก็คือ”

“หลานของคุณปู่จะมีความสุขเหมือนกับเป็นเจ้าหญิงถึงหนูจะไม่ใช่เจ้าชาย”

“เจ้าบทเจ้ากลอน”

“แล้วก็เป็นเจ้าของหลานสาวคุณปู่คนนี้ด้วยค่ะ”

“พัค จียอน!”

“นั่นเป็นชื่อของคนที่รักหลานสาวของคุณปู่มากที่สุด”

“แต่ก็น้อยกว่าฉันอยู่ดี!”

“ได้โปรด…ให้โอกาสซักครั้ง”

“…………………………….”

“ได้โปรดเถอะนะค่ะ”

“จ …จียอนอ่า”

เจ้าของไร่กำลังคุกเข่าลงไปต่อหน้าทุกคนความจริงใจที่ฉายอยู่ในแววตาที่ดูมั่นคงคู่นั้นทำให้ฉันรู้ได้ว่าคำพูดที่ออกมาจากปากของเจ้าตัวเป็นไปตามความรู้สึกข้างในแน่แท้ ยังคงไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาเพื่อทำลายความเงียบที่กำลังครอบคุลมห้องอาหารขนาดใหญ่แห่งนี้ จนกระทั่งเสียงฝีเท้าของคุณปู่ดังขึ้นเมื่อท่านเดินออกไปยังประตู ฮโยมินน้องสาวของฉันเองดูจะเป็นคนที่ไม่มีความสุขมากที่สุดเพราะการที่คุณปู่เดินเลี่ยงออกไปแบบนั้นอาจจะหมายความได้ว่าท่านเองไม่ได้ยอมรับคำขอร้องจากเจ้าของไร่ที่ยังคงคุกเข่านั่งนิ่งอยู่ที่เดิม … ทว่า

“เราจะคุยเรื่องนี้กันทีหลัง”

ฮโยมินรีบเดินเข้าไปหาคนที่คุกเข่าอยู่ตรงพื้นภาพที่เห็นอยู่ตอนนี้คือคนสองคนที่เข้าสวมกอดกันอยู่ด้วยความดีใจ ในนาทีนี้ฉันยอมรับกับตัวเองแล้วว่าฉันแพ้เจ้าของไร่คนนี้อย่างราบคราบ แต่ถึงยังไงแล้วฉันก็ยังมีอีกคนที่อยู่ข้างฉันมาตลอดโดยเฉพาะอย่างในช่วงเวลาเช่นนี้

“อึนจองอ่า”

“ฉันไม่ได้อิจฉาเจ้าของไร่ดอกไม้นั่นเลยซักนิด”

ฝ่ามือที่ยื่นเข้ามาเกาะกุมทำให้ฉันหันไปหาพี่โซยอนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กระชับแรงบีบมือกลับไปพร้อมกับยิ้มออกมา

“ทั้งสองคนลุกขึ้นมาได้แล้ว”

“คุณปู่บอกว่าจะคุยเรื่องนี้ทีหลังไม่ได้แปลว่าตกลง”

“จนป่านนี้แล้วคุณยังไม่เลิกหวงน้องสาวของคุณอีกเหรอ”

“เจ้าของไร่นี่มัน!’

“ไม่ต้องหวงค่ะอ้อ ห่วง…ฉันจะดูแลฮโยมิน เอ่อ..พี่ฮโยมินเป็นอย่างดี”

“เธอสองคนต้องอดทนเพราะคุณปู่รักและเป็นห่วงฮโยมินมากทุกอย่างเลยยากกว่าที่คิดแบบนี้”

“เพื่อพี่ฮโยมินต่อให้ต้องแลกด้วยอะไรฉันก็ยอมทั้งนั้น”

“อยากจะอ้วก”

“อึนจองเรามีเรื่องต้องคุยกันมานี่!”

 คิกๆ

“ย๊า! หัวเราะฉันเหรอ”

“บอกให้มานี่!”

..

“ทำไมถึงกล้าเถียงคุณปู่แบบนั้น”

“เถียงที่ไหนกันก็แค่พูดไปตามความรู้สึก”

“…………………………………”

“พี่จะไม่เปลี่ยนใจจริงๆใช่มั้ย”

“หรือจะเปลี่ยนดีนะ”

“พี่นี่มัน…”

“…………………………………”

“นั่นจะไปไหน”

“เก็บกระเป๋านิดหน่อย คิดถึงไร่กุหลาบจะตายอยู่แล้ว”

“ถ้าคิดถึงเจ้าของไร่ทำไมไม่พูดตรงๆ”
..
เสียงฮัมเพลงด้วยท่าทางอารมณ์ดีทำให้ฉันยิ้มออกไปก่อนที่จะบังคับพวงมาลัยรถให้เคลื่อนเข้าไปในบ้านของตัวเอง ยอมรับว่าในตอนนี้ฉันมีความสุขมากที่สุดแต่ก็ไม่อยากให้ผ่านเลยช่วงเวลาแบบนี้ไปเลยซักนิด… ภาพที่เห็นอยู่ในตอนนี้ก็คือลอเรนซ์เด็กผู้หญิงตัวขาวอวบที่นั่งอยู่บนตักของแม่ตัวเอง เพียงแค่ก้าวเเรกที่เดินเข้าไปก็สามารถเรียกความใจจากเด็กน้อยได้มากเลยทีเดียว เพราะนอกจากการตะกายตัวเองลงจากตักแล้วยังมีเสียงเล็กๆที่ดังขึ้นพร้อมกับการวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้เข้ามาถึงตัวฉันให้เร็วที่สุด

“จี้!”

ลอเรนซ์เข้ามาอยูในอ้อมกอดของฉันก่อนที่ประเพณีการต้อนรับแบบของเด็กน้อยจะเกิดขึ้นต่อมา จุ๊บ…แล้วแก้มข้างนึงก็เปื้อนไปด้วยช็อกโกแลตก่อนที่ใครอีกคนที่เดินเข้ามาด้วยจะยื่นมือเข้ามาช่วยเช็คมันออกไป แล้วเสียงหัวเราะคิกคักก็ดังขึ้นเมื่อแก้มของเธอเองก็กำลังเปื้อนช็อกโกแลตไม่ต่างกัน

“คิสสึคๆ”

คิกๆ

เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นคงไม่น่าเอ็นดูเท่ากิริยาที่อยากเป็นเด็กมีมารยาทโดนการยกมือป้อมๆของตัวเองขึ้นมาปิดปากในคราวที่ปล่อยให้เสียงหัวเราะดังออกมา ฉันอดไม่ได้ที่จะยื่นจมูกเข้าไปฟัดแก้มอวบๆของลอเรนซ์อย่างบ้าคลั่งพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นจนหยุดไม่ได้

“ดูเล่นกันสิอย่างกับพ่อแม่ลูก”

“คะ?!”

เป็นเธอที่พูดขึ้นต่อจากประโยคของคุณแม่ที่นั่งมองอยู่ตั้งแต่แรก เราเดินเข้าไปนั่งที่โซฟาใกล้กับคุณแม่ก่อนที่จะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ท่านฟัง

“หมดเรื่องร้ายๆไปเสียทีต่อจากนี้แม่ก็คงหายห่วง”

เธอถูกแม่ของฉันดึงเข้าไปกอดกระทันหัน ฉันยิ้มให้กับอาการตกใจของเธอในตอนแรกก่อนที่เธอจะค่อยๆกอดแม่ของฉันกลับไปเช่นกัน ฝ่ามือที่ลูบลงเรือนผมของเธอคงจะช่วยปัดเป่าให้ความกลัวของเธอที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ร้ายๆให้ทุเลาเบาบางได้บ้าง

“ไม่เป็นไรแล้วนะ…”

“ค่ะคุณน้า”

“เรียกแม่สิจ๊ะ”

“คะ?!”

“แม่ของฉันก็เหมือนแม่ของพี่”

“……………………………..”

“ลองเรียกสิจ๊ะ”

“ค..คุณ แม่”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของแม่ตัวเองก่อนที่เธอจะค่อยๆผละออกมา ดวงตากลมโตที่เห็นอยู่ตอนนี้ทำให้ฉันรู้ว่าเธอเองก็กำลังรู้สึกอุ่นใจไม่น้อย ความอบอุ่นอบอวลจนบางทีฉันเองก็อยากที่จะหยุดเวลาตอนนี้เอาไว้ไม่ให้ผ่านพ้นเพราะกลัวว่าความสุขและความอบอุ่นใจในวันนีจะเลือนหายไปเพียงชั่วพริบตา

“แล้วนี่จะกลับไร่กันเลยหรือเปล่า”

“ใช่ค่ะ แต่ก็ต้องไปๆมาๆเพราะฮโยมินต้องไปช่วยงานที่โรงแรม”

“แน่ล่ะ เพราะธุรกิจโรงแรมกำลังไปได้สวย”

“จียอนอ่าเป็นอะไรหรือเปล่า”

“เปล่านิคะ…”

“แต่ลูกดูกังวล”

“………………………”

“ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องกังวลอีกแล้ว”

“หนูก็หวังว่ามันจะเป็นแบบนั้น”

..

แสงแดดอ่อนๆในช่วงเย็นที่อาบสองข้างทางตลอดรถยนต์แล่นผ่านเข้าไปถึงบ้านต้นไม้ทำให้ฉันรู้สึกเพลิดเพลินและไม่เคยสบายใจอย่างนี้มาก่อนเหมือนทุกอย่างกลับมาสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง ฉันยังจำวันแรกที่เธอมาถึงไร่กุหลาบแห่งนี้ได้ดี ลักษณะของผู้หญิงที่เอาแต่ใจคนนั้นยังจำได้ไม่เคยลืมรวมถึงแปลกใจนิดหน่อยที่ตัวเองกลับชอบในคราวที่ได้ทำอะไรขัดใจเธอทุกอย่างแต่ไม่มีใครรู้และไม่เคยคิดว่าในเวลานี้ผู้หญิงคนที่ว่านั้นกลับกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉันไปแล้ว แล้วก็กลายเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตที่ขาดไม่ได้จริงๆ

สายตายังคงทอดยาวไปยังเส้นทางข้างหน้าที่มีภูเขาเขียวครึ้มเป็นฉากหลัง เสียงพูดคุยของคนสองคนที่นั่งอยู่ตรงเบาะข้างยังดำเนินต่อไปจนกระทั่งรถแล่นเข้ามาจอดยังหน้าบ้านต้นไม้ที่มีป้าแม่บ้านยืนรออยู่แล้ว ประตูเปิดออกโดยฉันก่อนที่เธอจะอุ้มลอเรนซ์ลงมาด้วย เป็นภาพที่ดีที่สุดเมื่อเราสามคนกำลังเดินเข้าไปภายในบ้านในขณะที่ฉันเป็นคนถือกระเป๋าของเธอเข้าไปเป็นคนสุดท้าย เธอหันมาหาด้วยความแปลกใจเมื่อฉันเป็นฝ่ายเดินนำเข้าไปยังห้องนอนของตัวเองแทนที่จะเป็นอีกห้องที่อยู่ตรงกันข้ามที่เป็นห้องนอนของเธอตั้งแต่แรก

“ไม่มีความจำเป็นที่ต้องแยกกันนอน”

“นี่ตกแต่งใหม่ทั้งหมดเลยหรือ”

“แน่ละ…ก็ฉันมีครอบครัวแล้วนิ”

“อ่า..ต่อไปนี้ก็คงต้องนอนกันสามคนสินะ”

“มีอีกห้องสำหรับลอเรนซ์”

“ได้ยังไงกัน ให้ลอเรนซ์นอนคนเดียวไม่ได้หรอกนะ”

“แต่ว่า…ถ้าเป็นแบบนั้น”

“ลอเรนตัวเล็กซ์หมอนข้างของพี่”

เธอก้มจู่โจมแก้มอวบๆของลอเรนซ์พร้อมกับเสียงหัวเราะที่ดังประสานขึ้นแต่แล้วก็ต้องหยุดเปล่งเสียงกลางอากาศเมื่อฝ่ามือน้อยๆทั้งสองข้างโอบไปยังแก้มของเธอ เด็กน้อยจ้องมองอยู่อย่างนั้นก่อนจะทำบางอย่างที่ฉันเองคาดไม่ถึงมาก่อน ใบหน้าค่อยๆยื่นเข้าไปใกล้เธอก่อนที่ริมฝีปากของลอเรนซ์จะจุ๊บลงยังริมฝีปากของเธอ

“พี่คนสวยเป็นของหนู”

“คะ?!”

“งือ….ทำไมน่ารักแบบนี้”

“จี้…”

“ค…คะ!”

“แบ่งกันนะ”

.

.

.

.

.

.

.

.

.

TBC.