“คุณหนูจะไปไหน”
เสียงดังของซันนี่ที่รีบพาตัวเองมาถึงบ้านต้นไม้กำลังเรียกความสนใจจากเจ้าของอาณาจักรแห่งนี้ แต่สองมือที่เร่งรีบยัดเสื้อผ้าใส่ในกระเป๋ายังคงไม่หยุดนิ่งและตอบคำถาม เป้ใบสีน้ำตาลพร้อมชุดพักค้างอ้างแรมของพวกที่ชอบเดินฟ่าถูกดึงออกมาจากใต้เตียงตบมันเบาๆเพื่อให้ฝุ่นที่เกาะอยู่กระจายตัวก่อนมันจะถูกโยนไปกองรวมกันกับเสบียงอาหารอีกจำนวนหนึ่ง กุญแจรถเอทีวีที่ได้มาหนึ่งคันถูกโยนตามไปด้วยในขณะที่คนตัวเล็กยังคงไม่ยอมถอยหนีออกไปง่ายๆจนกว่าตัวเองจะได้คำตอบ
“หลบหน่อย”
“ฉันถามว่าคุณหนูกำลังจะไปไหน!”
เสียงเข้มที่ดังกว่าเดิมทำให้คนถูกถามชะงักสองมือที่กำลังก้มผูกเชือกรองเท้าหุ้มข้อที่เจ้าตัวมักจะเลือกใส่ออกไปในคราวที่ต้องเดินทางไปที่ไกลๆ เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเจ้าของคำถาม
“จะไปหากุหลาบสีน้ำเงิน”
“มันมีที่ไหนกัน”
“เคยเจอและเอามาปลูกครั้งนึงและเชื่อว่าต้องเจออีกครั้งแน่ๆ”
ป้าแม่บ้านที่ยืนมองเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นส่ายหัวให้กับคำตอบที่ไม่ใช่ความจริงเพราะรู้ดีกว่าสาเหตุที่แท้จริงนั้นมีต้นตอมาจากผู้หญิงของเจ้านายตัวเองมากกว่าและอีกอย่างโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาในครึ่งชั่วโมงก่อนหน้าก็ทำให้ป้าแม่บ้านรีบโทรหาซันนี่เพื่อมาช่วยถ่วงเวลาเอาไว้เพื่อในขณะที่ผู้หญิงของเจ้านายตัวเองกำลังเดินทางมาที่นี่
“เอ่อ…พอดีฉันมีเรื่องจะปรึกษาคุณหนูเรื่องกรุ๊ปทัวร์ที่กำลังจะมา…”
“ตัดสินใจไปตามความเหมาะสม”
“แต่ว่ายังมีเอกสารที่ต้องเซ็นต์คือว่า..”
“เอาตามที่บอกก็แล้วกัน”
“ทำไมคุณหนูถึงต้องรีบขนาดนี้”
“เอากุญแจรถมาให้ฉัน”
“คุยกันให้รู้เรื่องก่อน”
“ซุนคยู!”
“ฉันไม่รู้ว่าคุณสองคนทะเลาะกันเรื่องอะไร แต่คุณหนูจะเอาแต่หนีแบบนี้ไม่ได้!”
ปึก!
“อ๊ะ หลังฉัน!”
กุญแจรถถูกดึงเข้ามากำแน่นไว้ในมือก่อนที่มันจะซุกลงในกระเป๋ากางเกงกลับกลายเป็นว่าตอนนี้สองมือนั้นกำกระชับอยู่กับคอเสื้อของคนตัวเล็กที่ถูกผลักไปติดอยู่กับผนังด้วยแรงในระดับที่ทำให้ใบหน้าของผู้ถูกกระทำบิดเบี้ยวได้ แต่สองมือกำแน่นหรือจะพ้นหลักฐานจากสายตาที่จดจ้องกลับมาเพราะมันเต็มไปด้วยความเศร้าหมองบางอย่าง
”เธอไม่มีวันเข้าใจหรอกซุนคยู”
แล้วข้าวของทั้งหมดก็ถูกเเบกขึ้นหลังคนอารมณ์ร้อนก่อนมันจะวางเกยอยู่บนท้ายรถเอทีวีพร้อมสายรัดแน่นเสียงรถดังขึ้นแข่งกับเสียงเรียกตะโกนให้อยู่และทิ้งตัวห่างออกไปจากบ้านต้นไม้
“ฮโยมินกำลังจะมาที่นี่ ต้องคุยกับเธอให้รู้เรื่องก่อน!”
“อีกสองวันจะมีพายุอย่าไปเลย คุณหนู!”
000
“ฮโยมิน”
เสียงเรียกชื่อตัวเองจากพี่โซยอนที่ดังขึ้นพร้อมกับฝ่ามือที่เข้ามาจับที่หัวไหล่ไม่ได้ทำให้ฉันสนใจและหันไปมองก่อนจะเรียกให้แม่บ้านเข้ามาเก็บแก้วนมอุ่นๆที่ตอนนี้มันเย็นชืดออกไป สายตายังคงจับจ้องอยู่กับกล่องกำมะหยี่สีครีมที่วางอยู่ตรงหน้าเอื้อมเข้าไปหยิบมันขึ้นมาพลางนึกถึงใบหน้าในตอนนั้นของใครบางคนและก็ทำให้หยดน้ำตาเริ่มไหลออกมาอีกครั้ง มันทำให้ฉันคิดถึงแววตาที่จ้องมองคู่รักที่เพิ่งจะถูกขอแต่งงานในคืนนั้น คิดถึงสีหน้าสดใสและรอยยิ้มกว้างที่เกิดจากความสุขใจในคราวที่เธอขับรถมาส่งที่โรงแรมในเช้าของเมื่อวานแต่ทั้งหมดมันก็ต้องจบลงเพียงแค่การเธอที่เดินเข้ามาถึงห้องทำงานในช่วงเวลาที่ฉันคุยเรื่องบางอย่างอยู่กับคุณปู่
การขับรถกลับที่ไร่กุหลาบด้วยความเร็วเต็มพิกัดของรถยนต์คันหนึ่งที่สามารถทำได้ดูไร้ประโยชน์ การดื้อดึงที่จะเข้าไปตามหาคนที่พยายามหนีหน้าไปอย่างตั้งใจดูจะไม่เป็นผลและข่าวของการพยากรณ์อากาศที่ดังผ่านเข้ามาก็สร้างความกังวลให้เพิ่มมากขึ้นไปอีก
“คนเราหนีหัวใจของตัวเองไม่พ้นหรอก”
“แต่ฉันกลัว..”
“เพราะจียอนไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่มีเวลาให้หัวใจตั้งรับกับข้อแลกเปลี่ยนที่คุณปู่ยื่นให้”
“ฉันไม่ไปแล้ว!”
“ฮโยมินอ่า”
“ถ้าความสำเร็จพวกนั้นต้องแลกกับคนที่เรารัก…สุดท้ายฉันก็ไม่มีความสุขอยู่ดี”
“ตอนนั้นพี่เองก็ไม่อยากไปอยู่อเมริกา ไม่อยากห่างกับอึนจองเหมือนกัน”
“พี่โซยอน”
“เกือบ 10 ปีแหนะ แต่สุดท้ายเราก็ได้กลับมารักกัน”
“……………………..”
“พี่เชื่อว่าจียอนต้องเข้าใจ เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาไม่ทันได้ตั้งตัวเท่านั้นเอง”
ฉันพาตัวเองเดินขึ้นมาบนห้องก่อนที่จะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงหลับตาลงปล่อยให้เรื่องราวทั้งหมดวิ่งวนอยู่ในหัวความสับสนและความกังวลรวมไปถึงความกลัวบางอย่างทำให้น้ำตาค่อยๆไหลออกมา คิดถึงใบหน้าที่เคยเปื้อนรอยยิ้ม อ้อมกอดอบอุ่น สัมผัสแผ่วเบาที่สุขล้นคิดถึงมันทั้งหมดและถ้าหากมีเวทย์มนต์บทไหนที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องราวทั้งหมดได้ฉันจะไม่รีรอที่วิงวอนร้องขอจะทำทุกอย่างทำทุกทางเพื่อเปลี่ยนแปลงเรื่องราวทั้งหมดให้มันกลับไปสวยงามอย่างเช่นที่ผ่านมา
“จียอนอ่ากอดฉันตอนนี้ได้มั้ย”
..
“ขอบคุณมากนะครับ ถ้าไม่ได้คุณลูกสาวของผมก็คงจะแย่”
ฉันพยักหน้าเป็นคำตอบก่อนจะส่งยาที่พกติดตัวมาด้วยยื่นให้กับชาวบ้านคนนึงที่เป็นพ่อของเด็กสาวที่นอนซมด้วยพิษไข้ป่า เข็มฉีดยาถูกเก็บทิ้งนึกขอบคุณที่เคยตามคุณปู่ของตัวเองเข้าไปช่วยชาวบ้านเมื่อสองสามปีก่อนบ่อยๆ แพทย์อาสายังคงเป็นคำจำกัดความและสอนให้ฉันเรียนรู้จากคุณปู่อีกที
“แล้วนี่คุณจะพักที่ไหนหรือครับ”
“พักที่นี่จะดีกว่านะคะถึงบ้านเราจะหลังเล็กแต่คงจะสบายกว่านอนเต้นท์”
คนที่เป็นภรรยาเอ่ยปากชวนด้วยรอยยิ้มถ้าหากว่าฉันแค่เอ่ยปฏิเสธความหวังดีของชาวบ้านคู่นี้ออกไปก่อนจะพาตัวเองเดินออกมาถึงรถที่จอดไว้ปีนขึ้นไปพร้อมกับสตาท์เครื่อง
“จะพักที่ไหนหรือครับ”
“บนยอดเขาลูกนั้น”
“แต่สองสามวันมานี้อากาศดูผิดปกติผมว่าคุณ..”
“ถึงตอนนั้นจะรีบลงมา”
“แต่ว่า…”
แล้วฉันก็บังคับรถให้แล่นออกในขณะที่ไม่ได้สนใจเสียงเตือนที่ตะโกนดังขึ้นไล่หลัง ลัดเลาะไปตามเส้นทางที่ไม่ได้เข้ามานานมากแล้ว บ่ายสี่โมงยังคงมีแสงแดดอ่อนๆทอดตัวสาดส่องไปยังภูเขาหลายลูกแต่ยิ่งตะวันใกล้ลาลับมากเท่าไหร่ความเศร้าในใจก็ดูเหมือนจะยิ่งเพิ่มพูนในหัวใจมากขึ้น แล้วไม่นานนักฉันก็มองเห็นเนินเขาสูงชันเมื่อตัวเองเดินขึ้นมาอยู่ในจุดสูงสุดในพื้นที่กว้างใหญ่แห่งนี้
สัมภาระที่แบกขึ้นบนหลังมาด้วยถูกทิ้งลงบนแผ่นหินขนาดใหญ่ที่มีต้นไม้รายล้อมในพื้นที่ส่วนหลัง ทอดสายตามองวิวทิวทัศน์เงียบสงบตรงหน้ามันคงจะเป็นภาพที่สวยงามมากกว่านี้ถ้ามีใครบางคนนั่งมองด้วยกัน
ฉันส่งข้อความกลับไปยังเบอร์ที่โทรเข้ามานับไม่ถ้วนก่อนที่จะตัดสินใจปิดมันแล้วยัดลงในกระเป๋าแล้วหันมายุ่งอยู่กับเต้นท์กางมันออกด้วยความชำนาญก่อนที่กองไฟจะถูกจุดขึ้นเพื่อบรรเทาความเย็นในยามที่ตะวันลาลับไป
“2 ปีเหรอ”
หัวเราะให้กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนจะนั่งลงยังเก้าอี้ทหารพร้อมน้ำร้อนที่เดือดอยู่ในการินมันลงในแก้วสีเงินฝ่ามือโอบแก้วนั่นเพื่อลดความหนาวเย็นยกมันขึ้นมาจิบแล้วถอนหายใจออกมาแรงๆแต่นั่นมันก็ไม่ได้ช่วยให้ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจลดลงไปได้เลยซักนิด
“แค่วันเดียวก็จะทนไม่ไหวอยู่แล้ว”
ขอเวลาให้ฉันตั้งรับกับทุกอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นได้มั้ยเพราะตอนนี้หัวใจของฉันกำลังบีบรัดแน่นเพียงแค่รู้ว่าจะไม่ได้เห็นหน้าเจ้าของมันอย่างเช่นทุกวัน เห็นแก่ตัวจะว่าอย่างนั้นก็ได้แต่เพียงคิดว่าจะต้องจาก…หัวใจก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา
“คุณครับ!”
เสียงผู้ชายที่ตะโกนอยู่ที่รถด้านล่างทำให้ฉันต้องลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปตามเสียงเรียกนั้นก่อนจะเห็นคู่สามีภรรยาคู่เดิมที่กำลังเดินขึ้นมาหา สองมือยังคงเต็มไปด้วยอาหารที่หอบหิ้วมาด้วย การปฏิเสธน้ำใจดูจะไม่เป็นผลเมื่ออาหารมื้อเย็นถูกแกะออกแล้วส่งมาให้ด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณแต่ฉันไม่หิวเท่าไหร่จะเก็บเอาไว้เป็นมื้อเช้าก็แล้วกัน”
“ไม่ได้นะครับ คุณมาถึงนี่ตั้งแต่บ่ายต้องทานมื้อเย็น อีกอย่างเมียผมตั้งใจทำสุดฝีมือเพื่อเจ้าของไร่คนใหม่”
“รู้จักฉัน?”
“ครับ..ไอ้ข้างบ้านบอกมามันเป็นน้องชายคนที่ทำงานในไร่ลอเรนซ์ รีสอร์ทสวยและธรรมชาติล้อมตัวก็ยังปกติเช่นเดิม”
“……………………”
“พวกเราดีใจที่เจ้าของไร่คนใหม่เป็นคุณถ้าเกิดตกเป็นของไอ้ผู้ชายใจร้ายคนนั้น คงต้องหาที่อยู่ใหม่ เก้งกวางเสือสิงคงสูญพันธุ์ ยานรกคงแพร่ระบาด”
“อูยอง?”
“ใช่ครับ..เอ่อแล้วทำไมถึงมาคนเดียวละครับ”
ฉันได้แต่ยิ้มออกไปก่อนจะหันไปมองทิวทัศน์ที่มีแสงจันทร์สว่างจ้านำทางให้เห็น ปล่อยให้สายลมเย็นๆพัดผ่าน คู่สามีภรรยานั่งที่พื้นโดยใช้ตอไม้เป็นฐานรองความหวังดีจากพวกเขาทำให้ฉันยิ้มออกมา เราจะไม่ขออนุญาตที่จะร่วมทานมื้อเย็นกับคุณเพราะเรารู้ว่าคุณคงเหงา แล้วสุดท้ายฉันก็ต้องยอมทานมื้อเย็นร่วมกับคู่สามีภรรยาคู่นี้ รอยยิ้มเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวถึงสังเกตุได้ว่าแม้ว่าอายุของพวกเขาน่าจะเท่าๆกัันกับพ่อของตัวเองแต่การเอาใจใส่ดูแลเอาใจใส่จากอีกฝ่ายก็ยังดูเหมือนว่าเป็นคู่รักที่เพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน…น่าอิจฉาเสียจริง
“มีลูกสาวคนเดียวหรือ”
“ใช่ครับ..แต่กว่าจะมีเจ้าตัวเล็กนั่นก็เล่นซะผมเกือบท้อ”
“ทำไมถึงเป็นแบบนั้น…ร่างกายไม่ดีเหรอ”
“เปล่าครับเพราะพ่อแม่เขาหวงลูกสาว หมายถึงเมียผมน่ะครับ กว่าจะได้เป็นพระเอกก็ต้องเล่นบทบู้ซะหลายเรื่อง”
“เกือบ 7 ปีน่ะค่ะกว่าแม่ของดิฉันจะยอมรับเขาให้มาเป็นพ่อของลูก”
“เห็นม้้ยละครับ”
“แล้วอะไรที่ทำให้อดทนล่ะ”
“เพราะรักและมั่นคงต่ออีกฝ่ายไงล่ะครับ คำตอบง่ายๆแต่ใช้เวลานานกว่าจะทำให้พวกเขาเชื่อว่ามันจริง ผมคิดว่าความรักไม่ใช่เรื่องของคนสองคน ไหนจะพ่อแม่ไหนจะพี่น้องของเขาพวกเขาก็รักลูกสาวของเขาไม่น้อยไปกว่าเรา ดีก็ตรงไหนผมมีโอกาศให้ได้พิสูจน์ตัวเอง”
“พอแต่งงานได้ปีหนึ่งก็ติดยัยหนู”
“มัวรออะไรรอมาตั้ง 7 ปี”
รอยยิ้มเอียงอายของภรรยาที่เกิดขึ้นทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะยิ้มตามไปด้วย ภาพของคนสองคนที่ใช้ชีวิตง่ายๆและมีลูกสาวหนึ่งคนทำไมถึงรู้สึกได้ว่าพวกเขาดูมีความสุขมากกว่าคนรวยพวกนั้น แล้วมันก็พลอยทำให้คิดถึงเรื่องของตัวเอง
“ตอนนั้นผมก็กลัวว่าเธอจะเปลี่ยนใจ อีกอย่างกลัวหัวใจของตัวเองว่าจะทนไม่ไหวตั้ง 7 ปี แต่สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละครับ”
“เพราะการอดทนรอและความมั่นคงในความรู้สึกของพ่อพิสูจน์ให้เห็นทุกอย่างไงจ๊ะ”
000
เช้าที่แสนเงียบและเหงาพร้อมท้องฟ้ามิดครึ้มทำให้ความขุ่นหมองในใจเพิ่มขึ้นไปอีก การย้ายตัวเองลุกจากที่นอนเป็นเรื่องง่ายเพราะทั้งคืนก็นอนไม่หลับ มองตัวเองผ่านกระจกบานใหญ่นี่น่ะหรือคนที่เธอรัก หนีหายเข้าไปในป่าพร้อมกับหัวใจที่เอาไปด้วย ถอนหายใจออกมาเพราะถึงไม่หลับก็เอาแต่ฝันถึงมันฟังดูแปลกๆไม่รู้จะเรียกว่าฝันได้หรือไม่เพราะไม่ได้นอนรึจะเรียกว่าคิดถึงจนนอนไม่หลับกันแน่ กล่องแหวนสีครีมในลิ้นชักถูกหยิบออกมาอีกครั้งเหมือนจะชวนให้นึกเจ้าของมันและวันนี้ฉันตัดสินใจที่จะออกไปตามให้เขามาสวมให้ที่นิ้วนางข้างซ้ายถึงเจ้าของแหวนไม่ใช่ผู้ชายก็ช่างประไรเมื่อผู้พิทักษ์รู้จักวิธีการที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนเจ้าหญิง
“ตื่นเเช้าจังคะ…นั่นจะไปไหนคะคุณหนู”
“ไร่กุหลาบ”
“คะ!…แต่ว่า”
“บอกทุกคนได้เลยว่าจะไปตามหัวใจไม่ว่าใครหน้าไหนก็ขวางไม่ได้ทั้งนั้น”
“ชุดเดินป่าสวยนิ”
“พี่อึนจองมาแต่เช้า”
“อะไรกันพี่ค้างที่มาหลายอาทิตย์แล้ว”
“ต้องรีบแล้วเดี๋ยวค่อยคุยนะ”
“มื้อเช้าให้เรียบร้อยก่อนค่อยไป”
“ไม่ทันจนได้”
“ไม่ได้ห้ามแต่กินอะไรแล้วค่อยไป…เป็นลมกลางทางหัวใจก็ไม่ได้คืน”
“พี่โซยอน”
“นั่นชุดอะไร”
“จะไปเป็นเพื่อน”
“งั้นฉันไปด้วย!”
“ฉัน…คนเดียวก็พอ”
“อยากไปเที่ยวป่า”
“แล้วงานที่โรงแรมล่ะ”
“ช่างประไรตั้งแต่มานี่ก็ยังไม่เคยได้พัก”
“แหกกฏเหรอ!”
“ทำตามเธอ…ฮโยมิน”
“…งั้นก็ไปกันทั้งหมดนี่แหละ”
“ไม่ได้นะพี่อึนจอง”
“ลาพักร้อนก่อนส่งน้องไปนอก…”
“พี่โซยอน…ไม่ไปแล้ว!”
“ไร่กุหลาบน่ะเหรอ”
“โอ้ย…อะไรกันเนี้ย”
แล้วรถยนต์ก็เคลื่อนตัวออกไปตามเส้นทางของไร่กุหลาบ ฉันเองไม่ได้พูดอะไรออกไปนอกเสียจากนั่งเงียบๆไปตลอดทางพร้อมอาการมึนหัวนิดๆไม่รู้เพราะคนขับรถคนโปรดของพี่โซยอนหรืออาการอดนอนกันแน่ ผ่านไปเรื่อยๆจนสองข้างทางเปลี่ยนเป็นป่าเขียวครึ้ม..คงอีกไม่นานจะได้ออกไปตามหัวใจอย่างที่พี่โซยอนว่า
“อึนจองขับรถออกถนนใหญ่ครั้งแรกหรือไง”
“ไม่ได้บู้แบบนี้มานานแล้ว สนุกดีเหมือนกัน”
“จะอ้วกแล้ว ขับดีๆ”
“เหมือนฝนจะตก”
“ว่าแล้วเชียว”
กว่ารถจะเข้ามาถึงบ้านต้นไม้ทุกอย่างรอบกายก็ชุ่มช่ำด้วยหยาดฝนที่ตกลงอย่างหนักฉันสะดุ้งตกใจเมื่อใบหน้าของใครบางคนปรากฏขึ้นในขณะที่หลับตา แล้วก็ต้องลืมตาอย่างกระทันหันเมื่อฝ่ามือเย็นเฉียบเข้ามาแตะที่แขน ปรับสภาพสายตามองไปรอบตัวก็พบว่ารถยนต์เข้ามาจอดที่โรงรถที่บ้านต้นไม้เสียแล้ว
“ทำไมตัวร้อนแบบนี้”
“ถ…ถึงแล้วหรอ”
“ลงมาได้แล้วมินนี่”
ฉันเดินลงจากรถก่อนจะพยายามทำตัวลีบแบนเพื่อหลบสายฝนที่เทลงมาก่อนที่ป้าแม่บ้านคนเดิมจะเดินเข้ามาหา ภายในบ้านดูเงียบเหงาคงเพราะเจ้าของบ้านไม่อยู่ ภาพบรรยากาศเก่าๆของเราแล่นวนฉันเดินออกมายืนชิดกระจกบานใหญ่ทอดสายตาไปยังระเบียงไม้ที่ตอนนี้มีสายฝนเทลงมาอย่างไม่กลัวว่าพื้นไม้จะผุพัง แล้วผ้าขนหนูก็ถูกส่งยื่นมาให้ตรงหน้าเหมือนกับพี่อึนจองที่ใช้มันเช็ดผมอยู่ที่โซฟา ฉันรับมันมาก่อนจะคลี่มันออกแต่ใช้มันห่มร่างกายเพื่อทดแทนความอบอุ่นจากใครบางคนที่ชอบโอบกอดฉันอยู่ตรงจุดนี้บ่อยๆ
“ลอเรนซ์?”
“อยู่กับคุณผู้หญิงค่ะ”
“ติดต่อมาบ้างมั้ย”
“คุณซันนี่บอกว่าส่งข้อความกลับมาหา บอกว่าไม่ต้องห่วง อยู่ที่ไกลๆซักพักแล้วจะกลับมา”
“ทั้งๆที่รู้ว่าจะไปอาทิตย์หน้าแต่ก็ยังไม่อยากใกล้”
“หน้าคุณแดงดูเหนื่อยๆตัวก็รุ่มๆเดี๋ยวป้าจะเตรียมยามาให้ ยังไงวันนี้ก็ไปไม่ได้ฝนตกหนักแบบนี้”
“แล้วเค้าจะอยู่ยังไงกลางป่าแบบนั้น”
ป้าแม่บ้านไม่ตอบก่อนจะพาพี่โซยอนและพี่อึนจองเข้าไปยังห้องอีกห้องที่อยู่ติดกัน ฉันลุกขึ้นยืนและมองไปยังบรรยากาศด้านนอก ฝนใกล้จะหยุดแล้วนิเพราะตกไม่แรงเท่าตอนมาถึงโทรศัพท์ในกระเป๋าถูกหยิบออกมากดโทรออกไปยังเบอร์โทรของผู้ที่น่าจะนำทางไปได้ ปลายสายกดรับก่อนจะเอ่ยปากห้ามอย่างที่คิดไว้แต่เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายยังไงก็ชำนาญเส้นทางการนัดแนะกันอย่างลับๆจึงเป็นไปได้ด้วยดีก่อนจะรอให้ถึงเวลาที่ดึกกว่านี้จะได้แอบออกไป…ตามหาหัวใจ
.
.
.
.
.
.
.
TBC.