Adore you #25 (1)



แกร๊ก+


เท้าซีดขาวที่ผ่านเม็ดฝนเย็นเฉียบในชั่วโมงก่อนหน้ากำลังก้าวออกมาจากห้องน้ำ
พร้อมกับสองมือที่กำกระชับกับเสื้อคลุมอาบน้ำให้แน่นเข้าหากัน ดวงตาเรียวยาว
ที่ปราศจากขีดเขียนกำลังมองหาเจ้าของห้องนอนที่ตัวเองยืนอยู่ในตอนนี้

บนเตียงก็ไม่มี ริมหน้าต่างก็ไม่มี..หันซ้ายหันขวาก็ยังคงไม่พบร่างของคนที่บอกให้
ตัวเองเข้าไปอาบน้ำในครึ่งชั่วโมงก่อนหน้า สายตายังคงกรอกไปมาอยู่กับบรรยากาศ
ภายในห้องนอนอันกว้างขวางที่ถูกตกแต่งเอาไว้ในสไตส์วินเทจวิคตอเรีย ในขณะที่
ฝ่ามือเรียวกำลังลูบไล้ไปที่ของแต่งห้องอย่างตะเกียงโบราณสีมันวาวแต่เสียงประตูห้อง
ที่ดังขึ้นก็ทำให้รีบชักมือกลับมาอย่างรวดเร็ว

แกร๊ก

แล้วร่างของคนที่มองในก็กำลังเดินตามสาวใช้คนนึงที่กำลังยกถาดเข้ามาวางไว้
ก่อนที่จะเดินออกไป สายตาของตัวเองวางไปยังของบนถาดแล้วก็หันกลับมา
มองคนที่กำลังใช้หลังดันประตูห้องให้ปิดลง

“เอ่อ….”

“กินยาดักไว้ก่อนสิ…”

“หื้อ”

“ก็ไปยืนตากฝนแบนั้น”

น้ำเสียงแข็งๆที่เอ่ยออกมากับท่าทางกอดอกของเธอทำให้อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
ฉันหมายถึงท่าทางภายนอกที่กำลังต่อต้านความรู้สึกภายในของเธอมากกว่า
…..ลึกๆแล้วเธอก็เป็นห่วงฉันอยู่เหมือนกันสินะ

เธอกำลังเดินออกมาจากหลังบานประตู สองขาของฉันจึงก้าวออกไปหาก่อนที่จะยื่นสองแขน
ของตัวเองดึงตัวของเธอให้เซเข้ามาอยู่อ้อมกอดของฉันเอาไว้ เสียงเตือนที่ห้ามการกระทำ
ของฉันยิ่งทำให้ฉันออกแรงกอดเธอเอาไว้ให้แน่นในขณะที่จมูกก็เริ่มได้กลิ่นหอมจางๆที่
ตัวเองคิดถึงมาตลอดสองสามวันแถมอีกคนยังผ่านการอาบน้ำมาก่อนหน้า แต่ยังไม่ทันที่
จะได้ทำบางอย่างตามสิ่งที่ตัวเองต้องการ เธอกลับดิ้นขลุกขลักหนีออกไปจากอ้อมกอด
แล้วเดินไปนั่งลงที่ปลายเตียงนั่นเสียก่อน

“ยังไม่หายโกรธอีกเหรอ”

“………..”

“แน่ใจนะว่าเล่าให้ฟังหมดแล้ว…บอกฉันทุกเรื่องแล้วใช่มั้ย”

ท่าทางบึ้งตึงของคนที่นั่งอยู่ปลายเตียงทำให้ฉันต้องเริ่มเดินเข้าไปหาก่อนจะนั่งลงใกล้ๆ
สองแขนก็ยังสอดเข้าไปที่เอวบางๆของเธอพร้อมกับคางที่วางอยู่กับหัวไหล่ของเธอเอาไว้

“ไม่เชื่อใจกันเหรอคะ”

“ฉันชอบนะเวลาที่เธอทำดีกับฉัน”

“…………..”

“ทำดีกับฉันแค่คนเดียวน่ะ”

“…ต่อไปนี้ฉันจะทำดีกับพี่แค่คนเดียว”

“ไม่ได้อยากได้คำตอบที่ฟังแล้วรู้สึกดี”

“…………..”

“แต่ช่วยทำให้เห็นทีได้มั้ย”
.
.
“…เชื่อใจฉันนะ”

ฉันไม่ได้รอให้เธอได้พูดอะไรออกมก่อนที่จะกระชับอ้อมกอดให้แน่นมากยิ่งขึ้น
ในขณะที่กำลังรู้สึกได้ถึงความอุ่นที่แก้มข้างขวาเมื่อเธอกำลังยกมือขึ้นโอบเอาไว้
ยิ้มออกมอย่างสุขใจเพราะนี่มันคจะเป็นรอยยิ้มแรกในเวลาของสองสามวันที่ผ่านมา

แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความคิดถึงหรืออะไรก็ตามที่ทำให้ฉันเริ่มจะกดจมูกลงที่แก้ม
ของเธอเบาๆและดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้นเมื่อริมฝีปากแดงๆของเธอ
ส่งผลให้ฉันผละเธอออกจากอ้อมกอดแล้วค่อยๆยกมือขึ้นมาเชยคางของเธอ
ให้หันมาหา แล้วภาพบางอย่างที่ฉันเคยเข้าใจผิดในวันก่อนก็ฉายซ้ำอีกครั้ง
ความเจ็บปวดและอยากเอาชนะเพื่อลบล้างสัมผัสที่เกิดขึ้นโดยคนอื่นที่มอบให้กับเธอ
ส่งผลให้ฉันค่อยเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ก่อนจะแนบริมฝีปากเข้าหาอีกคน

จูบที่หนักหน่วงในคราวแรกทำให้เธอส่งเสียงประท้วงเบาๆในลำคอ ก่อนที่ฉัน
จะเปลี่ยนเป็นสัมผัสที่แผ่วเบาอย่างทะนุถนอมจนฉันเองก็เริ่มรู้สึกถึงการตอบรับ
จากอีกคนกลับมา ฉันพยายามจะลืมภาพในวันนั้นแต่มันก็กลับมาตีวนอีกครั้งจนได้

สัมผัสที่เคยอ่อนโยนเริ่มเปลี่ยนไปเป็นความหนักหน่วงอีกครั้ง เมื่อฉันเริ่มบดเบียด
ริมฝีปากอีกคนอย่างเอาแต่ใจแล้วก็ดูเหมือนว่าจะยิ่งได้ใจเมื่ออีกคนก็ไม่ได้ท้วงติงอะไร
เหมือนในตอนแรกซักนิด

“อือ…จี”

เสียงเรียกร้องภายในส่งผลให้ฉันเริ่มเคลื่อนฝ่ามือทั้งสองจับไว้ที่เอวของเธอบีบเคล้น
ไปตามอารมณ์บางอย่างที่เริ่มปะทุขึ้นภายในใจลึกๆ ปลายนิ้วเคลื่อนขึ้นมากดอยู่กับขอบบรา
ที่แผ่นหลังของเธอไปมา แต่ก็ต้องยอมผละจูบออกมาเสียก่อนเมื่อรู้สึกได้ว่าเธอเองเริ่มที่จะ
ขาดอากาศหายใจ

“ต่อไปนี้…ฉันจะทำดีกับพี่แค่คนเดียวเท่านั้น”

“………….”

“แล้วพี่เองก็ต้องไม่ยอมให้คนอื่นมาจูบพี่แบบนั้นอีก”

ฉันเคลื่อนตัวลงไปหาก่อนจะกดริมฝีปากลงไปยังอกข้างซ้ายที่ยังคงมีก้อนเนื้อ
ที่เต้นกระตุกแทบจะหลุดออกมา ฝ่ามือยังคงทำหน้าที่ได้ดีเมื่อฉันค่อยๆโน้ม
ให้ตัวของเธอลงไปนอนบนเตียงนุ่มเบาๆในขณะที่ริมฝีปากก็ยังไม่ยอมผละออก

“ไม่ว่าจะเป็นริมฝีปากหรือว่าตรงนี้…”

“………….”

“มีฉันคนเดียวเท่านั้นที่เป็นเจ้าของ”

กลิ่นหอมๆจากอีกคนทำให้ฉันเคลื่อนริมฝีปากมาหยุดอยู่ที่บราสีดำที่เสื้อบางๆ
สีขาวตัวนี้ซ่อนมันไว้ได้ไม่หมดก่อนที่จะขบไปยังเนินอกนั่นเบาๆ

“อ..อย่า”

“หือ?….”

“อย่า…อย่าทำแบบนี้กับใคร”

“………..”

“อย่า…ทำให้ฉันเสียใจอีก”

ฉันเคลื่อนตัวขึ้นไปข้างบน ก่อนจะจ้องมองเธอที่นอนหลับตาพริ้มตรงหน้า
ตัดสินใจพาริมฝีปากของตัวเองเข้าไปใกล้ใบหูอีกนิดแล้วก็กระซิบบางอย่างออกไป

“จะไม่มีวันนั้น”

เรือนผมที่มีกลิ่มหอมอ่อนๆที่เกิดจากแชมพูแบบเดียวกันที่ฉันเองเคยใช้
รวมถึงองค์ประกอบทุกอย่างที่หล่อหลอมให้เป็นคนตรงหน้า แล้วก็เป็น
คนเดียวที่มีฉันคนนี้เท่านั้นที่เป็นเจ้าของ สมองพร้อมทั้งหัวใจที่เต้นรัว
อยู่ในตอนนี้สั่งการให้ฉันซุกจมูกเข้าหาซอกคอขาวจัด ยิ่งได้สัมผัสในครั้งแรก
ก็ยากที่จะห้ามใจตัวเองให้หยุดอยู่แค่นั้น แล้วหัวใจก็เต้นถี่รัวมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก

ใครกันที่บอกว่าครั้งแรกมักจะตื่นเต้นมากที่สุด…โกหก..โกหกทั้งเพ
ครั้งที่สองต่างหากที่ฉันอยากจะทำให้ทุกอย่างมันดีกว่าครั้งแรก

“ม…มือเย็น”

ฉันสอดมือเข้าไปภายใต้เสื้อนอนของเธออุณหภูมิที่อีกคนบอกว่ามันเย็นเฉียบ
นั่นเริ่มเปลี่ยนไปในเวลาต่อมา มันอุ่น…มันอุ่นจนร้อนเมื่อมือของฉันสัมผัสอยู่
กับหน้าท้องของเธอไปมา แล้วปลายหัวนิ้วโป้งเริ่มสอดเข้าไปภายใต้บราสีดำของเธอ
นึกยิ้มอยู่ในใจเมื่อเธอกำลังเงยหน้าขึ้นเปลือกทั้งสองปิดพริ้มกับสัมผัสที่ฉันเป็น
คนมอบให้

แกล้งอีกคนอยู่ได้ไม่นานก่อนที่ฉันจะถอนฝ่ามือออกมาแล้วรีบจัดการกับกระดุมเสื้อ
ที่มันเป็นสิ่งแรกที่ฉันรู้สึกว่ามันน่ารำคาญมากที่สุด ยิ่งแกะออกหัวใจก็เริ่มเต้นรัว
มากยิ่งขึ้นเม็ดแล้วเม็ดเล่ามันก็ยิ่งเร่งเร้าให้ปฏิกิริยาบางอย่างที่ผสมปนเปกันออกมา
เป็นความคิดถึงที่เป็นตัวจุดฉนวนให้อารมณ์บางอย่างพุ่งสูงเกินครึ่ง

…ร่างกายของฉันต้องการร่างกายของเธอ

“อืม……ชักช้า”

เสียงครางที่ดังขึ้นเบาๆพร้อมกับความหมายของประโยคที่ว่านั่นทำให้ฉันยิ่งได้ใจ
แล้วก็อยากจะเปลี่ยนประโยคก่อนหน้านั้นเป็นชื่อของตัวเองตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป

สายตายังจ้องมองเรือนร่างท่อนบนของอีกคนที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ตรงหน้า
แล้วมันก็หยุดอยู่ทีริมฝีปากบนเล็กๆที่มันดูน่ารักและเชิญชวนให้ฉันไม่รอช้า
ที่จะเคลื่อนตัวเข้าหาแล้ว..จูบบดเบียดมันลงไปเบาๆในคราแรกเริ่มเปลี่ยนแปร
เป็นความหนักหน่วงตามความต้องการบางอย่างจากข้างใน รวมถึงฝ่ามือทั้งสอง
ข้างที่กำลังเค้นคลึงอยู่กับสะโพกด้านล่างอย่างเอาแต่ใจ

ลิ้นร้อนๆที่เริ่มสอดเข้าหาอีกคนทำหน้าที่นวดคลึงและสำรวจความหอมหวาน
จากเธออย่างไม่สนใจเสียงประท้วงแต่มันก็เงียบหาไปก่อนที่จะรู้สึกได้ถึงการ
บดเค้นจากปลายลิ้นของอีกคน …..มันดี…มันดีมากจริงๆตื่นเต้นและเร้าใจมากกว่า
ในครั้งแรกเป็นไหนๆ

ฝ่ามือของเธอเริ่มขย้ำอยู่ที่หัวไหล่เมื่อฉันกดจมูกเข้าหาซอกคอที่หอมจางๆด้วยกลิ่นกาย
ที่เป็นบ่งบอกความเป็นตัวตนของเธอ ตัวตนของเธอที่เป็นของฉันรวมถึงจิตวิญญาณ
ของเราทั้งสองที่มันกำลังจะหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวในอีกไม่ช้า

ฝ่ามือละออกมาจากสะโพกแล้วก็เคลื่อนขึ้นไปบราสีดำที่เป็นสิ่งขวางกั้นในลำดับต่อไป
ในขระที่ปลายลิ้มเริ่มอกมาลากไล้ไปสันกราม ฟันหน้ากดเบาๆเพื่อต้องการปลุกปั่น
อีกคน ปลายนิ้วสอดเข้าไปยังตะขอบราเพื่อหวังทำลายสิ่งขวางกั้นของร่างกายของเธอ
.
.
.

“ด….เดี๋ยวก่อน”

“………..”

“บอกว่าให้หยุดก่อน…”

“…………”
.
.

ฉันไม่ได้สนใจเสียงที่ดังขึ้นเลยแม้แต่น้อยในขณะที่ปลายลิ้นยังคงทำหน้าที่มันต่อไป
แล้วก็แอบยิ้มอยู่ในใจเมื่อตะขอบรานั้นหลุดออกจากกันในเวลาต่อมา



ผลั่ก

“ท…..ทำไม”

“ตอบคำถามข้อนี้มาก่อน”

“หือ?”

ฉันไม่เข้าใจแววตาที่ยังคงมีความสงสัยบางอย่างที่ฉายออกมาได้ชัด ในขณะที่
เธอพลิกตัวเองขึ้นมาอยู่ด้านบนตัวฉันเรียบร้อยแล้ว แต่หัวใจของฉันมันกำลัง
เร่งกระตุกแรงมากขึ้นเมื่อเนินอกของเธอมันกำลังบดเบียดส่วนเดียวกันกับของฉัน

“คืนนั้นอยู่กับคิวรีจนถึงเช้าเลยสินะ”

“ห๊ะ?”

“หูหนวกเหรอ”

“………….”

“ใช่มั้ย?”

“…เอ่อคือว่า”

“………….”

“ช….ใช่”

“แล้วนอนเตียงเดียวกันมั้ย”

“โถ่…..”

“ตอบคำถามเดี๋ยวนี้!”

“…ใช่….แต่มันไม่ได้มีอะไรซัก….”

“พี่จะไปไหน!”

แววตาที่ดูเคิบเคลิ้มในตอนแรกเริ่มเปลี่ยนเป็นความดุดันและไม่พอใจจนเห็นได้ชัด
รวมถึงสีหน้าที่ดูงอง้ำแถมยังบึ้งตึงที่ฉายความรู้สึกภายในใจออกมาจนหมด

ฉันรู้ว่าเธอคงจะไม่พอใจแต่ในคืนนั้นมันก็ไม่ได้มีจริงๆ….แต่ว่าอันที่จริงมันก็อาจจะ
มีอะไรจริงก็ได้ เพราะฉันเองก็ฝันว่าได้จูบกับคนตรงหน้าทั้งๆที่คืนนั้นคนที่นอนอยู่
ด้วยข้างๆเป็นพี่คิวรี….ไม่ใช่ฉัน ฉันไม่ได้เริ่มถึงพี่คิวรีจะจูบฉันจริงๆ ฉันก็ไม่ได้เริ่ม
ซักหน่อยแถมยังรู้สึกผิดมากด้วย แต่ไม่ใช่เวลานี้เรื่องนี้ไม่ควรจะให้คนตรงหน้านี้ได้
รับรู้เป็นแน่

“ปล่อย!”

“ไม่เอาสิ…อย่าเป็นแบบนี้”
.
.
ผลั่ก
.
.
ปึก……..

“โอ้ย!”

“สมน้ำหน้า”

เปลือกตาปิดลงอัตโนมัติตามด้วยการที่รู้สึกเจ็บที่สะโพกด้านซ้าย เมื่อร่างกายของฉัน
หล่นลงมากระแทกกับพื้นห้องแข็งๆแทนความนุ่มของเตียงนอนเพียงชั่ววินาที

ปึก

หมอนใบใหญ่ที่หนุนก่อนหน้าลอยเข้ามากระทบที่หัวจนฉันเซไปอีกข้างหลังจาก
ที่พยายามลุกขึ้นมานั่งด้วยอาการมึนงง

พรึ่บ

ทำไมถึงมืดไปหมด

มือขวากำลังดึงผ้าห่มผืนใหญ่ที่คลุมอยู่ที่หัวของตัวเองลงมา ก่อนที่จะลืมตาขึ้นมอง
สถานการณ์รอบๆ ค่อยๆพาตัวเองลุกขึ้นมาพร้อมกับฝ่ามือที่จับอยู่กับสะโพก

“นี่มันอะไรกัน…”

“ปิดไฟได้แล้ว…..ง่วง!”

เธอกำลังเอียงตัวลงนอนที่อีกฝั่งหนึ่งของเตียงพร้อมกับดึงผ้าห่มอีกผืนขึ้นมา
ห่มเอาไว้ เธอกำลังนอนหันหลังให้ฉันแล้วนั่นก็ทำให้ฉันค่อยๆนั่งลงบนเตียง
เอื้อมมือไปแตะที่ไหล่เบาๆ ถ้าทว่าไม่มีเสียงนั้นดังขึ้นมาเสียก่อน

“อย่าแตะตัวฉัน”

“แต่เมื่อกี้…ตะขอบราของพี่หลุดแล้วแท้ๆ”

“หยุดพูดเดี๋ยวนี้”

“…………”

“ทำไม…พี่ต้องทำแบบนี้”

“ลงไปนอนข้างล่าง”

“อะไรนะ!”

“เธอไปนอนกับคนอื่นมา”

“โธ่….ก็แค่นอนเฉยๆ”

“ฉันมีอะไรจะบอก”

“หือ?”

“ที่จริงคืนนั้นที่เธอออกไป…พี่อึนจองก็มานอนเป็นเพื่อนฉัน”

“ว่าไงนะ!”

“โธ่….ก็แค่นอนเฉยๆ”

“ที่นอนเสริมอยู่ในตู้ข้างใน…แล้วก็อย่าแอบขึ้นมาบนเตียงละ”

“เมื่อกี้ล้อเล่นใช่มั้ย”

“เห็นมั้ยละเธอยังโวยวายเลย”

“มันไม่เหมือนกัน”

“งดนอนเตียงเดียวกัน 1 อาทิตย์”

“ไม่มีทาง”

“ทีพี่ยังให้คนอื่นมานอนด้วยเลย”

“ฉันแค่ล้อเล่น”

“………..”

“หยุดนะ…..อย่าเข้ามา”

“…………”

“ถ้าพรุ่งนี้เกิดทำอะไรให้ไม่พอใจอีกละก็”

“…………”

“มันก็จะถูกเพิ่มไปเรื่อยๆ”

“แต่ 1 อาทิตย์มันไม่มากไปเหรอ”

“ลงไปได้แล้ว…นี่เตียงฉัน”

“…………”

“เพิ่มไปอีก 1 วัน”

“เข้าใจแล้วๆ”

.
.
.

แต่ความคิดทั้งหมดก็หยุดอยู่แค่นั้นเมื่อฉันเห็นท่าทางตื่นๆในนาทีก่อนหน้า
รวมถึงสายตาอ้อนๆของเธอที่พยายามอธิบายทุกอย่างให้ฉันฟัง มันทำให้ความ
ใจอ่อนที่มีมากอยู่แล้วกดทับความโกรธเอาไว้ทั้งหมด ฉันเคยคิดว่าตัวเองจะ
ใจอ่อนให้คนที่กำลังวุ่นวายอยู่กับที่นอนของตัวเองมากไปหรือเปล่า

เปล่าเลย….ฉันก็แค่กลัว…..กลัวว่าจะเสียเธอคืนไปให้คนพวกนั้นมากกว่า

“เมื่อไหร่จะปิดไฟซักที!”

ท่าทางรีบจัดรวมถึงสีหน้าเงอะงะของเธอทำให้ฉันแอบอมยิ้มอยู่ซักพัก การกระทำ
ทุกอย่างยังคงอยู่ภายใต้สายตาของฉันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาเสื้อผ้าของฉัน
จากตู้ด้านในมายืนรอคำอนุญาติจากฉันในนาทีก่อนหน้า หรือว่าที่คาดผมมินนี่
แสนน่ารักที่เธอยอมหยิบมันมาคาดเอาไว้บนหัวของตัวเอง ซึ่งนั่นมันก็เป็นไปตาม
คำสั่งจากปากของฉันโดยที่เธอไม่กล้าขัดใจเลยซักนิด จนสุดท้ายไฟในห้องก็ดับลง

แต่ภาพของเด็กผู้หญิงผิวขาวจัดที่อยู่ในเสื้อยืดรัดรูปที่มีไซร์เล็กกว่าขนาดตัวของเจ้าตัว
รวมถึงกางเกงนอนสีเทาขาสั้นกุดและไม้คาดผมมินนี่อันนั้นก็ยังคงฉายอยู่ในความรู้สึก
ของฉัน น่ารัก…..นั่นเป็นคำเดียวที่เกิดขึ้นในสมองตอนนี้


คิก…..

“พี่หัวเราะอะไร”

“เปล่า”

“แต่ว่าฉันได้ยิน…”

“อย่าถามมากได้มั้ยง่วงนอน”

“ขอโทษค่ะ…จะไม่ถามแล้ว”

“…………”

“ฝันดีนะคะ….แม้ว่าฉันอยากจะนอนกอดพี่มากแค่ไหนก็ตาม”

ฉันยังคงทำเสียงดุกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้ ใครว่าไม่อยากกอด
มีใครบ้างที่ไม่อยากนอนซุกอ้อมกอดอุ่นๆของคนที่เราคิดถึงมาตลอด แถมยัง
มีเรื่องให้เข้าใจผิดกันตั้งหลายอย่าง คืนหลังจากการปรับความเข้าใจกันมันคง
จะดีกว่านี้ใช่มั้ย…..ใช่ถ้าไม่เป็นเพราะฉันกลัวว่าอีกคนจะได้ใจแล้วกลับไปทำ
ทำอะไรแบบนั้นอีก








เช้าวันต่อมา #คฤหานส์ตระกูลปาร์ค


“ดึงเสื้อเสื้อขึ้นสิ”

“…………”

“พัค จียอน”

“ฉันว่าฉันทาเองดีกว่า”

.
ฮัดชิ้ว+
.
“เมื่อคืนบอกให้กินยาก็ไม่กิน”

“ก็เมื่อคืออยากกินอย่างอื่นมากกว่า”

“นอนคว่ำ”

“ห๊ะ?….เปลี่ยใจแล้วเหรอ”

“จะทายาให้….คิดอะไรอยู่”

ฉันพลิกตัวมาอยู่ในท่านอนคว่ำ ก่อนที่จะชำเลืองมองอีกคนที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆ
ตอนนี้เราอยู่บนเตียงนอน ซึ่งฉันก็นับว่าตัวเองยังคงโชคดีไม่น้อยที่เธอยอม
ให้ฉันขึ้นมาอยู่บนนี้ได้ ฉันยังคงยืนยัดว่าตัวเองสามารถจัดการกับหลอดยาที่
เธอเพิ่งดึงออกไปจากมือนี่ได้ แล้วก็กำลังไม่เข้าใจความต้องการของเธอเลยซักนิด

สมองยังคงมึนงงอยู่กับน้ำหนักเท้าจากอีกคนในคืนที่ผ่านมา พร้อมกับอาการ
ร้อนรนที่ในตอนที่ฉันตื่นขึ้นมาเมื่อเธอเห็นว่าฉันกำลังมีอาการปวดที่สะโพก

“ตัวเล็กแค่นี้..แต่กลับมีแรงมากขนาดนั้นถีบฉันให้ตกลงมาจากเตียง”

“ก็เพราะว่าโกรธไงล่ะ”

“แสดงว่าตอนนี้หายโกรธแล้วใช่มั้ย”

“ถ้าวันนี้ไม่ทำอะไรให้ไม่พอใจเพิ่มอีกอะนะ”

“แน่นอน….คืนนี้ฉันก็ต้องได้เตียงเดียวกับพี่แน่”

“ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ซักนิด”

โอ้ย

“เจ็บเหรอ!”

“อือ…นิดหน่อย”

“ไหนลองหันหน้ามาซิ”

“ไม่”

“หน้าเธอแดงมากเลยนะ”

“…………..”

“เขินเหรอ”

“พี่เปิดสะโพกฉันอยู่นะ”

“ก็ถ้าไม่เปิดจะทายายังไง”

“หมายถึงมือที่นวดอยู่นั่นต่างหาก…ต้องการอะไรกันแน่”

“ก็เธอใช้สะโพกอ่อยฉันอยู่นิ”

“เปล่าซะหน่อย!”

บางอย่างกำลังปะทุน้อยๆอยู่ในใจ นิ้วมือเล็กๆที่กำลังกดวนอยู่กับสะโพกมันกำลัง
ปลุกปั้นความรู้สึกบางอย่างให้เกิดขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ รวมถึงสายตาที่จ้องมองอยู่
กับสะโพกของฉันที่ฉันเองหันไปมองเมื่อกี้

“ไม่เจ็บแล้วเหรอ….”

“ม….ไม่แล้วล่ะ”

“แปลกจริงๆ…ยานี่ดีมากเลย”

“แต่ว่ากำลังรู้สึกบางอย่าง”

“หือ”

“ทาเสร็จหรือยัง…อย่านานกว่านี้เลยนะ”

“แล้วจะรีบลุกขึ้นมาทำไม…นอนลงไป”

“…………”

“ก็มือพี่เย็นนิ”

“ยานี่เย็นกว่าตั้งเยอะ”

“………..”

“แล้วชั้นในสปอร์ตนี่…ใส่สบายมั้ย”

“ทำไมถึงถามอะไรแบบนี้!”

“กล้าพูดเสียงดังใส่เหรอ”

“…………”

“ก็มันเห็น…เลยถามดูเพราะรุ่นนี้ซื้อมายังไม่เคยใส่เลยซักครั้ง”

“ก…ก็ดี”

“อ่า….เสร็จแล้วๆ”

พู่วววว

ฉันรีบพลิกตัวเองกลับมาอยู่ในท่านั่งที่พิงอยู่กับหัวเตียงรวมถึงจัดการกับเสื้อผ้า
ของเธอที่ตัวเองใส่อยู่ให้เรียบร้อย เธอเดินเข้าไปในห้องน้ำซักพักก่อนจะเดิน
กลับออกมา

“มานี่หน่อยสิ”

“………..”

“มานั่งลงนี้หน่อยนะ”

ฉันยิ้มออกมาเมื่อเธออยอมเดินเข้ามาหาใกล้แล้วสองแขนก็โอบเอวเธอเอาไว้
ก่อนจะดึงให้นั่งลงบนเตียง แม้ว่าเธอกำลังทำทีดิ้นขลุกขลักเขินๆอย่างวางท่า
แต่ฉันรู้ว่าเธอเองก็กำลังรู้สึกดีไม่น้อยเมื่อเวลาที่เธออยู่ในอ้อมกอดฉันอยู่แบบนี้

“อะไร”

“คิสสึ”

“ไม่ได้น่ารักหมือนลอเรนซ์ซักนิด”

“แล้วจะไม่คิสจริงๆเหรอ”

“……….”

“นะ…”

ฉันกำลังหลับตาลงเพื่อรอรับริมฝีปากเล็กๆของเธอ หัวใจเต้นตึกตัก
ในขณะที่รู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆที่เป่ารดลงยังแก้มข้างซ้ายรวมถึงกลิ่นหอม
ประจำตัวเธอที่ฉันชอบมันมากที่สุด แผนการบางอย่างเมื่อเธอโน้มริมฝีปาก
เข้ามาใกล้อีกนิดกำลังจะเกิดขึ้น จะเป็นไรไปก็เปลี่ยนจากแก้มข้างซ้ายเป็น
ริมฝีปากของฉัน

ตึก

ตึก

ตึก

ตึก
.
.
.

ครืด………

“ย๊า!+”

“รับโทรศัพท์ก่อนสิ”

ฉันรีบลืมตาขึ้นมาอย่างรวดเร็วก่อนที่จะรีบขวับไปหาโทรศัพท์ที่่สั่นเตือนอยู่ข้างๆ
รายชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจอทำให้ฉันต้องรีบกดรับสายโดยไม่ต้องคิด

“ค่ะพ่อ”

“…………..”

“คะ!?”

“…………”

“ไม่เด็ดขาด…….พ่อก็หาคนอื่นมาแทนสิคะเรายังมีเวลาอีกตั้งเยอะ”

“…………..”

“ยังไงหนูก็ไม่ยอมไปเดินอะไรแบบนั้นหรอกค่ะ”

“พ่อก็รู้หนูไม่ชอบตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่น”

“……………”

“อีกอย่างถ้าเดินคู่กับพี่สิก้า…”

“แล้วคอนเซ็ปมันก็เป็นเจ้าชายกับเจ้าหญิงไม่ใช่เหรอคะ”

.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
TBC>> LOVE MINYEON
เจอกันอีกทีตอนงานเปิดตัวน้ำหอมค่ะ

Adore you #24

“ตั้งแต่วันแรกเมื่อ 4 ปีก่อน”

“นักเรียนแลกเปลี่ยนเกาหลีที่ดูเย็นชาแถมยังพูดน้อยคนนั้น”

“เขายังคงพิเศษสำหรับฉันจนถึงตอนนี้”

_________________________________________________




“วันนี้ต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ”

ฉันลุกขึ้นยืนพร้อมกับสองมือที่ล้วงอยู่ในโค้ทตัวที่ใส่อยู่ก่อนจะเดินออกไป
พร้อมกับพี่คิวรีที่เพิ่งมาถึงคอนโดของตัวเองโดยที่ฉันเข้ามารอได้ไม่ถึงสิบนาทีเลยด้วยซ้ำ
หลังจากที่ลิฟต์ปิดลงฉันก็พยายามจะไม่หันไปสนใจสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามของคนข้างๆ
นอกเสียจากการดันแว่นตาที่มันล่นลงมาให้กลับขึ้นไปเกาะกับสันจมูกอย่างเดิม

ติ๊ง

ประตูลิฟต์เปิดออกตามด้วยระยะทางอีกไม่ไกลก่อนที่จะเปิดประตูห้องจะถูกเปิดเป็นอันดับต่อมา
ฉันพาตัวเองเดินเข้าไปภายในหยุดยืนอยู่หลังประตูที่ปิดลงค่อยๆถอดเสื้อโค้ทตัวนอกออกเพื่อที่
จะแขวนมันเอาไว้ในขณะแว่นตาก็กำลังถูกถอดออกโดยอีกคนข้างๆพร้อมกับตัวเองที่ก้มหน้ามอง
พื้นอยู่อย่างนั้น

“ท…ทำไมหน้าถึงเป็นรอยแบบนี้”

พี่คิวรีสัมผัสอยู่รอยข่วนบริเวณหางตาที่ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นรอยเล็บที่เกิดจากฝีมือใครบางคน
ฝ่ามือนั่นละออกไปก่อนจะเข้ามากุมมือของฉันเพื่อที่จะ
เดินเข้าไปนั่งที่โซฟาแต่ปลายเล็บของพี่คิวรีที่สัมผัสอยู่กับบาดแผลที่อุ้งมือนั่นทำให้ฉันรีบชักมือหนีออกมาอย่างรวดเร็ว

“จียอนอ่า”

สองหูได้ยินเสียงเรียกชื่อของตัวเองแต่ความสนใจทั้งหมดก็ไม่ได้วางอยู่ตรงนี้ก่อนจะเดิน
เข้าไปในห้องน้ำและจัดการกับคราบเลือดที่ติดอยู่ให้หมดไปแล้วพาตัวเองเดินออกไป
ยืนอยู่ริมระเบียงด้านนอกทอดสายตาไปยังแสงไฟที่สว่างไสวยามค่ำคืนที่เป็นบริเวณ
กว้างขนานอยู่กับท้องฟ้าสีครามข้างบน กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อฝ่ามืออุ่นๆของพี่คิวรี
วางอยู่กับหัวไหล่พร้อมกับแรงบีบเบาๆที่ต้องการให้รู้ถึงการมีอยู่ของอีกคนข้างๆ

“ต้องให้ฉันบ้าตายก่อนใช่มั้ย…ถึงจะยอมบอกว่าไปทำอะไรมา”

“……………..”

พี่คิวรีดึงตัวฉันให้หันมามองตรงๆพร้อมสองมือที่ประครองอยู่กับใบหน้า
สายตาที่เคยมองอยู่กับแสงไฟสว่างจ้าพวกนนั้นละมาสนใจแววตาของคนตรงหน้า
หลับตาลงเมื่อปลายนิ้วนั่นสัมผัสอยู่กับรอยนูนแดงที่แก้มข้างขวา

“รู้บ้างมั้ยว่าทุกครั้งที่เธอเจ็บ…ฉันเองก็ไม่ได้เจ็บน้อยไปว่าเธอเลยซักนิด”

“…………”

“มันมีเหตุผลเพียงข้อเดียวที่ทำให้ฉันอยู่ข้างๆเธอมาตลอด”

“แล้วมันก็มีเหตุผลอีกมากมายที่ทำให้เธอไม่เลือกฉัน”

“พี่..คิวรี”

“นักเรียนเกาหลีเมื่อ 4 ปีก่อนที่ดูเงียบขรึมแถมมีใบหน้าแค่อารมณ์เดียวนั่นพิเศษสำหรับฉันมากนะ”

“………….”

“เป็นอะไรบอกฉันสิ…แววตาเศร้าๆของเธอมันทำให้ฉันเจ็บปวดไปด้วยนะรู้มั้ย”

“เปล่านิ…”

“แววตากับคำพูดของเธอไม่ได้ตรงกันเลยซักนิด”

“…………..”

“ฉันไม่อยากพูดอะไรตอนนี้”

พี่คิวรีละฝ่ามืออกไปจากหน้าของฉันก่อนที่จะดึงฉันเข้าไปกอดเอาไว้ แล้วนี่ก็คงจะเป็นครั้งแรก
ที่ฉันเคยเห็นอีกคนกล้าทำอะไรแบบนนี้ ฝ่ามือที่ลูบอยู่กับผมของฉันทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่
น้องสาวคนนึงที่มักจะได้รับการปกป้องจากพี่สาวคนนี้อยู่เสมอ

“ตกลงจะค้างที่นี่จริงๆใช่มั้ย”

“ไม่อนุญาติเหรอ”

“จะขัดใจซักครั้ง…ฉันเองก็ยังไม่เคย”


……………………….

คฤหานส์ตระกูลปาร์ค


ปึก

โทรศัพท์เครื่องหรูกระเด็นลงไปที่เตียงนอนพร้อมคนที่กำลังหงุดหงิดอยู่กับการต่อสาย
หาใครบางคนมาเกือบชั่วโมง ความกระวนกระวายเริ่มเข้ามาแทนที่ความหงุดหงิดรวมถึง
ความไม่สบายใจที่ส่งผลให้เจ้าตัวไม่เป็นอันจะมีอารมณ์ทำอะไรได้ นอกเสียจากจะสามารถ
ติดต่อเจ้าของหมายเลขที่ถูกกดโทรออกในชั่วโมงก่อนหน้านั่นให้ได้ก่อน

ฉันยังจำสีหน้าของเธอได้แม่น… สีหน้าและแววตาที่ดูเจ็บปวดและยังแฝงไปด้วย
ความผิดหวังบางอย่างที่ฉันเป็นคนยอมให้มันเกิดขึ้น ในขณะที่ฉันเองรีบผละพี่อึนจอง
ออกไปก่อนจะรีบวิ่งออกไปตามคนที่กำลังเดินออกไปอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ยอมหันกลับมา
ตามคำสั่งของฉันเลยซักนิดแต่ก็ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจไว้
เมื่อพอร์ชคันสีขาวนั่นแล่นออกไปจากรั้วบ้านของตัวเองด้วยความเร็ว

“ไม่ได้กลับไปที่ไร่…ที่บ้านก็ไม่มี”

พึมพร่ำอยู่กับตัวเองซักพักจนแล้วจนรอดก็ตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ที่ถูกขว้างให้นอนนิ่ง
อยู่บนเตียงเข้ามากำเอาไว้ก่อนจะตัดสินใจโทรออกไปยังหมายเลขของคนที่ไม่เคยคิดว่า
ตัวเองจะเป็นฝ่ายโทรไปหา

“ใช่เจสสิก้าหรือเปล่า”

.
.
.

บรืนนนน

จากนั้นbmwคันสีขาวก็แล่นออกไปตามเส้นทางตามที่คนในสายกำลังบอก ฉันไม่สนใจเสียง
เรียกตะโกนของสาวใช้ที่วิ่งตามฉันออกมา รวมถึงรถของคุณปู่ที่กำลังแล่นเข้ามาสวนทาง
กับฉันที่รั้วบ้านความเร็วของรถเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้วในเวลาไม่ถึง15 นาทีฉันเข้ามาถึงคอนโด
ที่ดูหรูหราแห่งหนึ่ง

ปึก!

ประตูรถถูกปิดลงก่อนที่ฉันจะเดินลงมาจากรถแล้วสายตาก็กำลังมองหาคนเพิ่งจะวางสายไป
ไม่นานนักผู้หญิงคนที่กำลังมองหาก็เดินออกมาพอดี

“บอกแล้วไงว่าจียอนไม่ได้มาที่นี่”

“ก็แค่อยากมาดูให้แน่ใจ…ถ้าไม่ซ่อนใครเอาไว้ก็ไม่เห็นจะต้องกลัว”

“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ…จียอนต้องเป็นฝ่ายตามง้อคุณไม่ใช่เหรอ”

“ไม่ใช่เรื่องของเธอ”

“มีสิทธฺิ์พูดแบบนี้กับเจ้าของห้องที่ตัวเองจะขอขึ้นไปดูได้ด้วยเหรอ”

“มีสิ…เพราะคอนโดนี่เป็นเครือของคุณปู่ฉัน”

“นี่คุณ”

“จะพาฉันขึ้นไปได้หรือยัง”

แกร๊ก

ประตูห้องถูกเปิดออกไปก่อนที่ฉันจะพาตัวเองเดินเข้าไป ภายในที่ตกแต่งไว้อย่างหรูหรา
ยังคงปราศจากร่างของใครบางคนที่ฉันต้องการพบ ห้องแล้วห้องเล่าจนเกือบทุกมุมของ
คอนโดหลังนี้ถูกฉันเดินเข้าไปหาจนครบ ก่อนจะที่ฉันจะเดินออกมาหยุดอยู่ที่หน้าทีวีจอยักษ์
ในขณะที่เจ้าของห้องยังคงยืนพิงโต๊ะมองฉันอยู่อย่างนั้น

“บอกแล้วว่าเขาไม่ได้มาที่นี่”

“………….”

“จียอนอาจจะกลับไร่ไปแล้วก็ได้…แต่บอกคุณว่าไม่ได้กลับไป”

“ฉันมั่นใจว่าเขาไม่ได้กลับไปที่ไร่”

“เท่าที่ฉันรู้จียอนไม่ได้สนิทกับใคร…”

“เดี๋ยวนะ…ฉันพอจะนึกออกบ้างแล้วล่ะ”

“คุณหมายถึง..”

“ฉันต้องรีบไป..”

แต่อีกคนกำลังละความสนใจเดินออกไปที่ระเบียงด้านนอกก่อนที่ฉันจะพูดจบในขณะที่ฉันเอง
ก็เริ่มมีอาการบางอย่างเมื่อเสียงหวีดร้องจากรถพยาบาลที่ดังขึ้นจากด้านล่างดังขึ้น ภาพจำบางอย่าง
กำลังกลับมาเล่นวนในหัวอีกครั้งจนฉันเองต้องนั่งลงที่โซฟาพร้อมกับสองมือที่ยกขึ้นมาปิดหูเอาไว้
มันจะไม่เป็นแบบนี้ถ้าฉันไม่เกิดอาการแบบนี้ในเมื่อวันก่อน ยกไหล่ขึ้นเช็ดเม็ดเหงื่อที่เริ่มผุดขึ้น
มาใบหน้า สะดุ้งอย่างลืมตัวเมื่ออีกคนกำลังเดินกลับเข้ามาพร้อมกับฝ่ามือที่วางอยู่บนไหล่

“คุณ…เป็นอะไร”

“ป.เปล่า…ฉันต้องไปแล้ว”

“แต่ว่าคุณดูไม่โอเค”

“ไม่…ฉันต้องไป..จะทำอะไรนั่นมันโทรศัพท์ของฉัน!”

“คุณดูไม่โอเค…ฉันจะโทรบอกคนที่บ้านคุณมารับกลับไป”

“นี่คุณรู้ว่าฉันกำลังเป็นอะไร?…..จียอนคงบอกคุณสินะ”

“ใช่…จียอนบอกฉัน”

“น่าตลกชะมัดนั่นมันเรื่องของฉัน…คงไว้ใจกันมากสินะ”

“ใช่..ไว้ใจมาก”

“……………”

“แล้วจียอนก็รักคุณมาก…เขารักคุณมากกว่าฉันเสียอีก”



…………………….

“พอได้แล้ว”

แก้วไวน์ในมือถูกแย่งออกไปจากมือก่อนที่ฉันจะหันไปมองอีกคนข้างๆที่กำลังนั่งมอง
ด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจนัก มากไปเหรอ..นี่มันยังไม่เพียงพอสำหรับการทำให้ฉันสลัดภาพของคนสองนั้น
ออกไปจากหัวได้เลยซักนิด ไวน์สีกุหลาบที่ตัวเองเป็นให้ไว้กับอีกคนมันคงไม่เพียงพอสำหรับฉัน
ในคืนนี้ได้เลยจริงๆ แต่ว่าในเวลาต่อมาคำว่าไม่เพียงพอเหมือนถูกแทนที่ด้วยคำว่ามากเกินไป
เมื่อพี่คิวรีกำลังพาฉันเดินมาถึงเตียงในห้องนอนอย่างลำบาก

ปึก

ทิ้งตัวเองนอนลงแล้วก็ไม่ได้สนใจเสื้อคลุมอาบน้ำที่ใส่อยู่เลยซักนิดว่ามันจะหลุดหลุ่ย
หรือไม่ ก่อนที่จะรู้สึกได้ถึงผ้าผืนใหญที่ยกขึ้นมาห่มทับร่างกายเอาไว้ต่อด้วยสองหูที่ได้
ยินเสียงน้ำไหลจากห้องน้ำด้านใน

.
.
.

แกร๊ก
.
.

ประตูห้องน้ำเปิดออกมาหลังจากที่ฉันพาตัวเองเข้าไปอยู่ในนั้นได้ซักพัก ในขณะที่เสียงโทรศัพท์
ที่วางเอาไว้บนเตียงก็กำลังกรีดร้อง ฉันเดินเข้าไปใกล้หยิบมันขึ้นมาแล้วก็นึกแปลกใจกับเบอร์
ที่โชว์อยู่บนหน้าจอ ก่อนจะตัดสินใจกดรับสาย

“คิวรีใช่มั้ย”

“น…นั่นใคร”

“จำฉันไม่ได้จริงๆเหรอ”

“เจสสิ…”

“ถ้าฉันเดาไม่ผิดจียอนคงจะอยู่กับเธอสินะ”

“…………”

“เธอคงจะรู้ดีกว่าพวกเขากำลังทะเลาะกัน…แล้วในตอนนี้ฮโยมินกำลังไม่สบาย”

“…………..”

“สิ่งที่เธอควรจะทำในตอนนี้ก็คือบอกให้จียอนรีบมาหาเธอที่บ้าน”

“เขา..ไปไม่ได้หรอก”

“มาไม่ได้หรือว่าเธอไม่ให้เขามากันแน่”

โทรศัพท์ในมือถูกวางเอาไว้ใต้ฐานโคมไฟก่อนที่ฉันจะเดินเข้าไปนั่งข้างๆคนที่นอนอยู่
ฉันมองไปยังใบหน้าที่แดงขึ้นสีด้วยฤทธิ์ของไวน์ที่เจ้าตัวเองนั่นดื่มเข้าไปในปริมาณ
ที่มากเกินไปถึงแม้เปลือกตาจะปิดลงฉันเองก็ยังสังเกตุได้ว่าอีกคนยังกังวลใจอยู่มาก
ฉันยังจำได้น้ำเสียงในตอนที่ฉันนั่งฟังเรื่องราวที่ตัวเองพยายามจะทำให้อีกคนนั่น
ยอมพูดออกมาในชั่วโมงก่อนหน้านั่นได้

แววตาสีหน้าและท่าทางของอีกคนมันซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้ได้ไม่มิด ที่สำคัญมันยังเป็นแววตาที่ฉันเอง
จำได้ว่ามันคือแววตาครั้งที่สองที่อีกคนสื่อออกมาถึงความรู้สึกบางอย่าง ซึ่งมันก็คือ
ความรู้สึกเดียวกันในคราวที่ผู้หญิงชื่อเจสสิก้าทำให้เขาเองต้องเจ็บปวดอย่างในสามสี่
ปีก่อนนั่นไม่มีผิด

ฉันตัดสินใจยกมือขึ้นปัดผมที่ปกอยู่ที่แก้มข้างนึงให้พ้นออกไปก่อนที่จะเกลี่ยปลายนิ้ว
อยู่ที่ริมฝีปากสีช่ำของคนที่นอนหลับตาอยู่ตรงหน้า โน้มตัวเองเข้าไปหาก่อนที่จะค่อยๆ
ประทับริมฝีปากลงไปในพื้นที่เดียวกันของคนที่หลับอยู่ บอกกับตัวเองไว้ว่าจะทำตาม
สิ่งที่คนในสายนั่นบอกเอาไว้ถ้าทว่าฉันไม่ได้รู้สึกถึงการตอบรับกับรสสัมผัสจากอีกคน

“อื้อ”

คนที่นอนอยู่ยังคงหลับตาอยู่อย่างเดิมแต่ฝ่ามือนั้นก็เริ่มเคลื่อนขึ้นมาสัมผัสอยู่กับ
ส่วนเอวของฉันก่อนที่จะดึงให้ฉันเข้าใกล้ หัวใจเริ่มเต้นรัวอย่างหนักจนกลัวว่า
อีกคนนั่นจะตื่นขึ้นมา นั่นก็เป็นเพราะริมฝีปากนั้นเริ่มตอบรับสัมผัสอย่างไม่ยอมผละออก
เปลือกตาของฉันปิดลงแล้วก็คงจะปล่อยให้ทุกอย่างมันดำเนินต่อไปถ้าอีกคน
ไม่ละออกไปแล้วดึงฉันเข้าไปกอดเอาไว้

“ทำไมถึงยอมให้คนอื่นจูบแบบนั้น…ฮโยมินอ่า

“…………..”

“พี่คงลืมไปแล้วว่าริมฝีปากของพี่”

“…………..”

“มีฉันแค่คนนี้คนเดียวเท่านั้นที่เป็นเจ้าของ”



…………………………..


คฤหาสน์ตระกูลปาร์ค


บนโต๊ะอาหารซึ่งเป็นช่วงเช้าของวันนี้คงจะดำเนินไปปกติถ้าหากว่าเจ้าของคฤหานส์หลังงาม
ที่มีอายุคนนี้กำลังเห็นหลานสาวของตัวเองที่กำลังเดินเข้ามาหาก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้างๆ

คุณปู่ที่นั่งอยู่ก่อนแล้วยกนาฬิกาเรือนงามขึ้นมาดูก่อนที่ฉันจะเริ่มหยิบขนมปังที่อยู่ใกล้มือที่สุดพร้อมถึงสาวใช้ที่ยืนอยู่้ขางๆกำลังส่งเสียงบางอย่างให้ฉันได้ยินแต่ตัวเองก็ไม่ได้สนใจ
อะไรนอกจากอาหารตรงหน้า

“ทำไมถึงตื่นเช้า”

“ตอนอยู่ที่ไร่ตื่นเช้ากว่านี้อีกค่ะ”

“แล้วนี่เราโอเคแล้วนะ”

“หนูไม่ได้เป็นอะไรมาก…เจสสิก้าอะไรนั่นต่างหากที่ตื่นเต้นไปเอง”

“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว…แล้วนี่วันนี้จะออกไปไหนหรือเปล่า”

“ค่ะ”

“แล้วจะไปไหนล่ะ…ช็อปปิ้ง ทำผม หรือว่าร้านทำเล็บ”

“ไม่ค่ะ…หนูเบื่ออะไรแบบนั้นแล้ว”

“ซอนยอง..”

“หนูเปลี่ยนไปเหรอคะ…”

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้”

“แล้วในเปลี่ยนไปในทางที่ดีหรือเปล่าคะ”

“ดี…ดีมากเลยล่ะ”

ฉันชะงักอยู่กับอะไรบางอย่างก่อนที่คุณปู่เองก็กำลังหันไปทำหน้าดุใส่สาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ
ก่อนที่จะป้าแม่บ้านมีอายุจะรีบเดินเข้ามาใกล้โต๊ะอาหาร ถ้าเป็นแต่ก่อนฉันคงจะโวยวาย
ใส่สาวใช้ไปแล้วเพราะกลิ่นของเมนูบางอย่างที่ฉันนึกเกลียดมาตั้งแต่เด็ก มันถูกวางลง
ให้ตรงหน้าในเวลาต่อมา

“ขอโทษนะคะคุณหนู…เด็กคนนี้เพิ่งเข้ามาใหม่น่ะค่ะ”

“ป้าจะรีบเอาออกไปเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ”

“คราวหน้าก็จำเอาไว้ด้วยว่า…ฉันไม่ชอบหัวปลารวมถึงต้นหอมนี่ด้วย”

“ขอโทษค่ะคุณหนู”

“ไม่ต้องขอโทษอะไรหรอกค่ะมันไม่ใช่ความผิดของคุณป้า..”

“ค..คะ…คุณหนู”

“อีกอย่างเธอเองก็คงจะไม่รู้…อย่างน้อยครั้งแรกเราก็ควรจะบอกให้เขารู้ก่อน”

ความเงียบเป็นสิ่งเดียวที่ฉันสัมผัสได้บนโต๊ะอาหารขณะที่ฉันเองต้องชะงักมือจากจากการปาดเนย
ลงบนแผ่นขนมปังเอาไว้ ฉันเห็นสายตาของทุกคนที่จับจ้องฉันเป็นสายตาเดียว
มันคงจะแปลกมากเพราะฉันรู้ว่าตัวเองเป็นคนที่ไม่เคยสนใจความรู้สึกของคนอื่น
มากไปกว่าตัวเองจนกระทั่งฉันเคยเห็นคนงานคนนึงซึ่งเขาเองเกือบที่จะทำผิดขั้นตอน
ของการตัดขนแกะที่ไร่ของลอเรนซ์นั่นเป็นเพราะว่าหัวหน้าคนงานเองละเลยที่จะบอกถึง
ขั้นตอนที่สำคัญกับเขาก่อน

“หลานเปลี่ยนไปมากนะฮโยมิน”

“นั่นก็เป็นเพราะเจ้าของไร่คนนั้น”

“………….”

“ที่จริงเขาสนใจคนงานของเขามากกว่านี้อีกนะคะ”

“………….”

“การที่จะเป็นหัวหน้าที่ดีได้มันก็ต้องเริ่มจากจุดนี้ไม่ใช่เหรอคะ”

“ถ้าอย่างนั้นหลานก็ควรจะเริ่มทำหน้าที่ผู้จัดการโรงแรมที่ดีแล้วล่ะ”

“ใช่ค่ะ….แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้”

“แน่ใจเหรอว่าจะกลับไปที่ไร่นั่นจริงๆ”

ครืด….

เสียงโทรศัพท์ของคุณปู่ที่วางอยู่ข้างๆหนังสือพิมพ์บนโต๊ะอาหารสั่นเตือนทำให้ฉัน
ละความสนใจมาอยู่กับเมนูตรงหน้า ในขณะที่คุณปู่กำลังหยิบโทรศัพท์เพื่อเปิดอ่าน
อะไรบางอย่างก่อนจะวางมันไว้ที่เดิม

“ฮโยมินอ่า..พอดีหุ้นส่วนรายใหญ่เขาจะเข้าไปดูโครงการคอนโดหลังใหม่”

“คะ”

“แล้วปู่มีประชุมด่วนเข้ามาพอดี…เราไปกับเขาแทนปู่หน่อยได้มั้ย”

“คุณปู่กำลังผิดสัญญากับหนู”

“แต่ถึงยังไงวันนี้เราก็ยังไม่กลับไปที่ไร่นั่นไม่ใช่เหรอ”

“แต่ว่าวันนี้หนูต้องไป…”

“ไม่ถึงครึ่งวันหรอก…ไปแทนปู่หน่อยนะ”



—————–


“ฉันกำลังจะไปถึงภายใน 15 นาที”

โทรศัพท์ในมือถูกเก็บไปนอนอยู่กระเป๋าเสื้อตัวนอกตามเดิมก่อนที่ฉันจะบังคับรถ
ให้แล่นออกไปตามเส้นทางข้างหน้า แสงแดดที่ไม่ได้ร้อนจนเกินไปกำลังแผ่รังสีลามเลีย
ตลอดสองฝั่งถนนรวมถึงท้องฟ้าที่ปอดโปร่งที่ฉายทับเป็นฉากหลังจึงทำให้วันนี้ดูเป็นวันที่สดใส
และคงเป็นวันเริ่มต้นที่ดีของใครๆหลายคน แต่ก็คงจะยกเว้นตัวฉันเองเอาไว้เพียงคนเดียวเท่านั้น

ฉันหยุดรถเมื่อเห็นสัญญาณไฟจราจรกลางสี่แยกข้างหน้า พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ที่ดังขึ้นออกมา
จากระเป๋าอีกครั้ง จ้องมองเบอร์โทรที่โชว์อยู่บนหน้าจอสี่เหลี่ยม ปลายนิ้วคงจะรีบกดรับสายของคน
ที่โทรเข้ามาโดยไม่ต้องคิดถ้าหากว่าไม่มีภาพบางภาพซ้อนทับเข้ามาในหัวเสียก่อน

“เห้อ…”

เสียงถอนลมหายใจดังขึ้นเป็นรอบที่เท่าไหร่ของเช้าวันนี้ฉันเองก็ลืมที่จะนับ เมื่อนึกย้อนไปถึง
เรื่องบางเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน หัวเราะให้กับความใจอ่อนของตัวเองที่กำลังประท้วงอยู่ภายในใจลึกๆ
ปฎิเสธการับสายแต่เมื่อคืนกลับไปฝันถึงเขาจนได้…ฝันถึงริมฝีปากบางเฉียบที่เคยคิดว่า
มีเพียงฉันคนเดียวเท่านั้นที่เป็นเจ้าของฉันไม่รู้ว่าอะไรก็แล้วแต่ อาจจะเป็นเพราะความคิดถึง
ที่ทำให้ฉันรู้สึกราวกับว่าความฝันในคืนที่ผ่านมานั้นมันเหมือนจริง

“เมื่อคืนพี่จะจูบฉันได้ยังไง”

บ้าไปแล้วจริงๆ

ปริ้น!

เสียงจากรถด้านหลังดังขึ้นให้ฉันละความสนใออกมาจากความคิดก่อนรถจะเริ่ม
เคลื่อนตัวออกไปอีกครั้งเมื่อเห็นว่าสัญญลาณไฟจราจรเปิดทางให้ตัวเองอยู่นานแล้ว
เลี้ยวขวาอีกไม่กี่ร้อยเมตรฉันก็เข้ามาจอดยังคอนโดแห่งหนึ่งก่อนที่จะเห็นผู้หญิง
ในเดรสสั้นสีขาวที่ไหล่ทั้งสองข้างพร้อมแว่นตาแบรนด์ดังที่เจ้าตัวเป็นหุ้นส่วนสำคัญ
กำลังเดินออกมาพอดี กระจกอีกฝั่งจนค่อยๆเลื่อนลงพร้อมปลายนิ้วที่เกี่ยวแว่นตา
ของตัวเองลงมาเพื่อมองคนที่กำลังเดินเข้ามาหา

ปึก

ประตูอีกข้างปิดลงก่อนที่ฉันจะบังคับรถให้แล่นออกไปตามสถานที่ที่เป็นเป้าหมายของ
วันนี้ ความเงียบที่เกิดขึ้นภายในรถยังคงเป็นสิ่งเดียวที่ใช้แทนคำทักทายแสนธรรมดา
ที่ถูกกลืนลงไปในลำคอเมื่อสายตามองเห็นสีหน้าของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ

“เมื่อคืนไปไหนมา…ไหนบอกว่าจะทำตัวเองให้ดีขึ้น”

“ปล่อยให้คนอื่นเขาตามหา…วุ่นวายกันไปหมด”

“จะมีใครวุ่นวายเพราะฉันกัน”

“เธอก็เป็นแบบนี้ไม่เคยเปลี่ยน”

“…………..”

“มีอะไรก็ไม่ยอมพูดกันตรงๆ”

“………….”

“ชอบใช้ความเฉยชาเป็นเกาะป้องกันตัวเอง”

“………….”

“ทั้งที่ข้างในก็เจ็บเจียนตาย”

“จะเดือดร้อนอะไรนักหนา…ฉันไม่เห็นว่าพี่ต้องเป็นแบบนี้เพื่อ…”

“นั่นสิฉันจะเดือดร้อนไปเพื่ออะไร…ฮโยมินจะเป็นยังไงไม่ใช่ธุระของฉันเลยซักนิด”

“พี่ฮโยมิน”

“……………”

“บอกฉัน…เดี๋ยวนี้”

“ไม่ใช่ธุระของฉันซักหน่อย”

“ได้โปรด…”

.
.
ความกังกวลที่กำลังตีรวนขึ้นมาทำให้ฉันนึกโกรธการกระทำของตัวเองที่เพกเฉยต่อ
เบอร์โทรที่โทรเข้ามานับไม่ถ้วน รวมถึงความรู้สึกบางอย่างที่ตัวเองกำลังตั้งคำถาม
อยู่ในตอนนี้ คนข้างๆบอกกับฉันว่าได้โทรไปหาพี่คิวรีเพื่อบอกให้ฉันรีบออกไปยัง
คฤหานส์ตระกูลปาร์คเพราะใครบางคนกลับมามีอาการนั่นอีกครั้ง จนกระทั่งถึงตอนเช้า
พี่คิวรีก็ยังคงไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องราวที่คนข้างๆเอ่ยออกมาเลยซักนิด นึกย้อนไปถึงความฝัน
ที่เหมือนเรื่องจริงที่มันเกิดขึ้นในคืนที่ผ่านมาอยู่อย่างนั้น แล้วฉันก็กำลังรู้สึกผิดเมื่อรู้ว่า
ริมฝีปากและรสสัมผัสที่เกิดขึ้นนั่นมันไม่ใช่ของเธอ

ฉันไม่ได้จูบพี่คิวรี…ไม่จริงซักนิด

“รีบไปหาเธอสิ…ฉันคิดว่าฉันน่าจะอยู่กับคิวรีได้”

“…………….”

“จียอนอ่า”

“ฉันคิดว่ามันคงไม่ดีแน่”

“งั้นฉันก็จะพยายามไม่เรื่องมาก”

.
.
ปึก

ประตูรถถูกปิดลงต่อด้วยการเดินนำอีกคนเข้าไปถึงร้านของพี่คิวรี ภายในร้านดูแปลกตาไปมาก
เมื่อนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่ฉันเองนั้นแทบไม่ได้มาหาพี่คิวรีที่นี่ ถ้าจะไปก็แค่ช็อปที่ถูกจัดอยู่
ภายในห้างสรรพสินค้าที่เดียวกันกับร้านน้ำหอมของตัวเองเท่านั้น แล้วห้องเสื้อที่เปิดมาได้
เกือบสองปีมันก็ดูหรูหรามากกว่าครั้งสุดท้ายที่เคยเข้ามาจริงๆ พนักงานของร้านรีบเดินเข้ามาหา
แล้วฉันเองก็สังเกตุได้ว่าเธอชะงักนิดหน่อเมื่อมองเห็นคนที่เดินเข้ากับฉันข้างๆ

“เชิญทางนี้เลยค่ะ”

ฉันเดินเข้าไปถึงพื้นที่ด้านในที่ถูกแยกเอาไว้เหมือนพื้นที่ส่วนตัวก่อนที่บานประตูจะถูกเปิดออก
พร้อมกับเห็นพี่คิวรีกำลังก้มสนใจอยู่กันคอมพิวเตอร์ตรงหน้า

“ออกไปได้แล้ว”

พี่คิวรีเงยหน้าขึ้นมาบอกให้พนักงานของร้านที่กำลังให้ความสนใจอยู่พี่สิก้าให้เดินออกไป
ฉันจึงเดินเข้าไปนั่งลงเก้าอี้ยังฝั่งตรงข้ามที่พี่คิวรีนั่งอยู่พร้อมพี่สิก้า

“นี่เป็นชุดที่ฉันออกแบบไว้”

พี่คิวรีเลื่อนแบบที่ตัวเองออกแบบไว้เรียบร้อยแล้วมาให้ให้ ก่อนที่พีสิก้าจะถอดแว่นอันใหญ่
นั่นออก แล้วก้มมองชุดสามชุดอยู่อย่างนั้น

“เจสสิก้า…หน้าของเธอ”

“ตกใจมากหรอ”

“………….”

“ฉันนึกว่าเธอจะดีใจเสียอีกที่เห็นฉันเป็นแบบนี้”

รอยยิ้มบางๆที่แฝงไปด้วยอะไรบางอย่างอย่างไว้ท่าระบายอยู่บนใบหน้าที่ยังคงมีรอยช้ำ
ที่ยังไม่หายดีก่อนที่เจ้าตัวจะเลื่อนชุดที่ตัวเองต้องการไปให้พี่คิวรี แล้วการหันมาถามถึง
ความคิดเห็นของฉันเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ก็ดูเหมือาจะไม่มีความจำเป็นเลยซักนิด เมื่อพี่สิก้า
ก็รู้ดีว่าอะไรที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด ไม่นานนักประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามาอีกครั้งเมื่อพนักงาน
สองคนที่เดินเข้าพร้อมกับชุดที่ถูกเลือกไปก่อนหน้า

“ไม่เข้าใจว่าจะให้ฉันเลือกจากแบบนี่ก่อนทำไม…ในเมื่อชุดจริงก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว”

“ก็แค่อยากพิสูจน์อะไรบางอย่าง”

“ฉันต้องเลือกชุดที่ดีที่สุดอยู่แล้ว…”

“…………..”

“เรามันดีไซเนอร์รุ่นเดียวกันคิวรี”

“ถ้าเธอ..”

ฉันถอนหายใจออกมาก่อนจะพยายามตัดบทสนทนาที่เกิดจากคนสองคน รวมถึงสายตา
ที่แฝงไปด้วยอะไรบางอย่างที่ฉันเองก็ยังคงเห็นมันอยู่เหมือนในช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมาไม่มีผิด
สองขาลุกขึ้นยืนหลังจากที่พนักงานทั้งสองนั้นเดินออกไป ก่อนจะหันไปสนใจชุดที่สวมอยู่
ในหุ่นที่ตั้งอยู่ด้านหลัง นึกชื่นชมพี่คิวรีอยู่ไม่น้อยกับชุดเกาะอกที่ด้านหน้าเปิดสั้นเพื่อต้องการ
ที่จะโชว์เรียวขาของคนสวมใส่ไหนจะคริสตัลแวววาวที่วางอยู่บนตัวของชุดซึ่งมันคือสิ่งที่บ่งบอก
ถึงตัวตนของดีไซเนอร์อย่างพี่คิวรีที่ชอบอะไรแบบนี้อยู่แล้ว แล้วยังรวมถึงด้านหลังของชุด
ที่ลากยาวด้วยขนนกสีขาวอ่อนนุ่มซึ่งสามารถสื่อให้เห็นความเป็นเจ้าหญิงที่ดูสูงศักดิ์และสง่างาม




“บ้าที่สุด!”

ประโยคแรกที่ฉันเองคิดได้ในตอนนี้ การพาหุ้นส่วนรายใหญ่มาดูโครงการคอนโดแห่งใหม่
ที่ถูกสร้างขึ้นภายใต้งบประมาณที่มูลค่าสูงเกือยสองร้อยล้าน แค่กลับกลายเป็นว่าตัวเอง
ต้องมานั่งอยู่ภายในร้านอาหารที่เป็นย่านของนักท่องเที่ยวที่มักจะแวะเข้ากันอย่างไม่ขาดสาย
ชั่วโมงก่อนหน้า ฉันเองแทบจะไม่ได้กระดิกตัวเมื่อรถตู้ของโรงแรมเข้ามาจอดถึงโครงการที่ว่า
ผู้ชายคนนั้นใช้เวลาเพียงแค่ห้านาทีในเดินเข้าไปซักถามอะไรบางอย่างกับผู้รับผิดโครงการ
ก่อนที่พาฉันที่ถึงที่นี่

“ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ”

“ครับ”

ฉันพาตัวเองเดินออกมาจากโต๊ะในขณะที่เขาเองก็กำลังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หันไปมองสถานการณ์
รอบๆก่อนที่จะรีบเดินออกมาจากร้านเงียบๆ พร้อมกับสายตาที่ยังคงสังเกตุผู้ชายคนนั้นอยู่ไม่ห่าง

ฟู่วว

ถอนหายใจออกมาเมื่อเขาเองก็รู้สึกเหมือนว่าจะยังไม่รู้ถึงการหนีหายไปของฉัน ฉันกำลังนึกย้อน
ไปถึงตอนที่ตัวเองเหมือนตกอยู่ในสภาวะที่เป็นมลพิษ มลพิษที่เกิดขึ้นจากผู้ชายที่นั่งอยู่ในร้าน
คนนั้น คำพูดหวานเลี่ยนที่ทำให้ฉันไม่อยากเข้าไปแตะต้องน้ำตาลพวกนั้น รวมถึงการเทคแคร์ที่
ทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ไม่ว่าจะด้วย
เรื่องไหนก็ตาม และนัดเจอกันในครั้งต่อไปที่ฉันนึกกลัวยิ่งกว่าการทำเคมีบำบัด

“น่ารำคาญชะมัด”

ฉันพาตัวเองเดินออกมาจากหน้าร้านอาหารก่อนจะสอดสายตามองหารถแท็กซี่เพื่อที่จะพาตัวเอง
กลับบ้านอย่างไม่ต้องคิดดีหน่อยก็ตรงที่วันนี้อากาศไม่ร้อนจนเกินไปจึงทำให้ทุกอย่างไม่เลวร้าย
ไปมากกว่านี้ ฉันเดินไปเรื่อยๆก่อนจะสังเกตุเห็นแท็กซี่ที่กำลังแล่นเข้ามาฉันคงจะพาตัวเองเข้าไป
นั่งในแท็กซี่คันนั้นเรียบร้อยแล้วถ้าหากว่าสายตาไม่ไปหยุดอยู่กับใครบางคนที่ฉันเองต้องการจะเจอ
มาตลอดในสองสามวันนี้ รอยยิ้มแรกของวันเกิดขึ้นโดยร่างของเธอที่กำลังเดินออกมาจากร้าน
ตรงหน้า แต่แล้วมันก็ต้องเลื่อนหายไปแทบจะทันทีเมื่อฉันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังเดินตามออกมา
และด้วยพื้นที่ต่างระดับของขอบประตูร้านนั่นก็ให้เธอเองต้องรีบเข้าไปรับผู้หญิงคนนั้นเอาไว้
อย่างกระทันหัน
.
.
.

“ระวังหน่อยสิ”

“อ่าๆ….เข้าใจแล้วปล่อยได้หรือยัง”

พี่สิก้ารีบผละตัวเองออกไปจากสองแขนของฉันที่ประครองเอาไว้ โชคดีที่กาแฟในมือ
ของอีกคนที่ถืออยู่ไม่หกใส่เสื้อของฉันไปซะก่อน ฉันหมุนตัวเองกำลังจะเดินอ้อมไปยัง
ประตูอีกฝั่งถ้าหากว่าสายตาไม่มองเห็นผู้หญิงคนนหนึ่งที่กำลังเดินตรงเข้ามาด้วยอารมณ์
ทีไม่ค่อยดีนัก รอยยิ้มแรกมันควรจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นถ้าหากว่าสีหน้าและแววตาที่มองเห็น
อยู่ในระยะที่ใกล้กว่าเดิมนนั้นถูกส่งไปหาพี่สิก้าที่ยืนอยู่ข้างๆ

“คุณฮโยมิน…คุณมาพอดี..”

เพลี้ย!

“พี่สิก้า!”

แก้วกาแฟในมือของพี่สิก้าหล่นลงกระทบพื้นพร้อมกับใบหน้าที่หันไปตามแรงสะบัด
ที่เกิดจากอีกคนที่ยืนมองอยู่ด้วยอารมณ์ร้อนๆ จนฉันต้องรีบเข้าหาคนที่กำลังยืนนิ่ง
ด้วยความคาดไม่ถึงอยู่อย่างนั้น พี่สิก้าค่อยๆหันหน้ากับมามองเธอสีหน้าที่อ่านไม่ออก

“เห็นฉันโง่มากเลยสินะ”

“………….”

“บอกกับฉันว่าไม่รู้ไม่เห็น…แต่พออีกวันกลับอยู่ด้วยกัน”

“คุณกำลังเข้าใจผิด..”

“ทำไมไม่เอาตัวเองบังไว้อีกล่ะ…เป็นห่วงกันมากไม่ใช่เหรอ”

“พี่กำลังเข้าใจฉันผิด….เราก็แค่..”

“คุณฮโยมินครับ!+”

“…………”

“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะครับ…เรากลับเข้าไปในร้านกันเถอะ”

ผู้ชายคนนั้นที่ฉันเองจำได้ว่าเคยเจอที่โรงแรมเมื่อหลายวันก่อนกำลังวิ่งเข้ามายังจุดที่ฉันยืนอยู่
ฉันพยายามข่มอารมณ์บางบางอย่างที่กำลังเริ่มปะทุขึ้นภายในใจเอาไว้ รวมถึงความคิดที่ว่าจะ
ก้มเก็บแก้วกาแฟที่อยู่บนพื้นขึ้นมาสาดใส่เขาอีกครั้ง

“กลับเข้าไปในร้านเถอะครับ…อาหารที่สั่งเอาไว้ได้แล้วนะครับ”

ฉันกำลังนึกขำกับท่าทางตื่นตูมที่ไม่ได้ดูสถานการณ์รอบๆข้างเลยว่ามันกำลังดำเนิน
อยู่สภาวะแบบไหน เขาไม่ได้สังเกตุสีหน้าของผู้หญิงที่เขาเองตามออกมาเลยซักนิดว่าเธอ
อยู่ในห้วงอารมณ์แบบไหนแล้วอีกไม่นานเขาเองก็จะรู้ว่าเวลาที่หลานสาวเจ้าของโรงแรม
โกรธนั่นเป็นอย่างไร แต่ทว่าคงเป็นฉันเองที่กำลังคิดผิด

“ไปกันเถอะค่ะ”

“ครับ”

“อย่าไป”

“……………”

“ฉันบอกว่าอย่าไปกับคนอื่น!”

“ที่ต้องไปก็เพราะว่าข้างๆเธอนั่นมันไม่มีที่ให้ฉันยืนไงล่ะ”

ฝ่ามือที่กำเข้ากันแต่แรกเริ่มคลายออกจากกันก่อนที่ฉันจะยืนนิ่งมองคนสองคนที่เดินห่าง
ออกไปเรื่อยๆ ริมฝีที่ปากหนักอึ้งทำให้ไม่สามารถเอื้อนเอ่ยประโยคร้องขอใดๆต่อภาพ
ตรงหน้านั่นได้เลยซักนิด เจ็บปวดอยู่ไม่น้อยเมื่อสองแขนที่โอบประครองร่างกายของเธอ
อยู่นั้นไม่ใช่ของฉันที่ยังอยู่ตรงนี้

“จะไม่ตามเขาไปเหรอ”

“………….”

“นั่นของๆเธอนะ”

“ฉันยืนอยู่ตรงนี้…แต่เขาก็ยังเลือกที่จะไปกับคนอื่น”

“นั่นอาจเป็นเพราะฉัน”

“พี่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยด้วยซ้ำ”

ฉันหันกลับมองอีกคนที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ ยกมือขึ้นมาประครองใบหน้าที่ยังคงมีรอยนิ้วมือ
ปรากฏชัดเจนให้เห็น จ้องมองไปยังดวงตาของอีกคนที่เริ่มมีหยดน้ำใสๆนั่นคลออยู่
แล้วนี่คงจะเป็นครั้งแรกที่พี่สิก้ายอมให้คนอื่นมาทำอะไรแบบนี้ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ผิด

“โดนตบหน้ามันเจ็บแบบนี้นี่เอง”

“………….”

“แต่ตอนที่ยูลทำกับเธอมันคงเจ็บกว่านี้ใช่มั้ย”

“พี่สิก้า..”

“ยังไม่รีบตามไปอีก…”

“ขอโทษแทนเธอด้วยนะ…พี่เจ็บมากมั้ย”

“เธอก็เป็นซะแบบนี้…ถ้าฉันเป็นฮโยมินคงจะไม่ทำแค่ตบแบบนี้หรอก”

แล้วน้ำใสๆที่คลออยู่กับดวงตาของคนตรงหน้าก็ไหลลงมาฉันจึงค่อยๆปาดมันออกไป
ให้พ้นออกไปจากแก้มทั้งสองข้าง อดสงสารแววตาที่ฉันเองก็เข้าใจดีกว่าอีกคนนั้น
กำลังรู้สึกอย่างไร

“ไม่เป็นไรนะ”

“อย่ามาทำดีกับฉันให้มากเลย”

“…………….”

“ถ้าฉันตกหลุมรักเธอเป็นครั้งที่สอง…ทุกอย่างมันจะยุ่งยากไปมากกว่านี้”

“นั่นเป็นสิ่งที่ฉันคิดว่ามันจะไม่มีวันจะเกิดอีก”

“มันก็ไม่แน่เสมอไปหรอก”

“…………..”

“ถ้าเธอยังไม่เลิกทำตัวแสนดีแบบนี้”




“วันนี้ท่านดูอารมณ์ดีนะครับ”

เลขาคนสนิทที่เพิ่งเดินเข้ามาพร้อมกับแฟ้มเอกสารเกี่ยวกับรายชื่อหุ้นส่วนของ
โครงการสร้างโรงแรมแห่งใหม่เอ่ยทักเจ้านายของตัวเองที่นั่งอยู่ในห้องทำงานที่ดูอารมณ์ดี
มากกว่าในทุกๆวันที่เคยเห็นก่อนจะวางเอกสารนั่นลงบนโต๊ะ ในขณะที่เจ้านายของตัวเองกำลัง
ไล่สายตาไปยังรายชื่อบนหน้ากระดาษอย่างใจเย็น

“ฉันดูอารมณ์ดีขนาดนั้นเลยรึ”

“คงไม่พ้นเรื่องคุณหนูใช่มั้ยครับท่าน”

“อย่าดังไปทุกอย่างมันเป็นไปตามที่ฉันคิดเอาไว้”

เลขาคนเดิมโค้งให้กับเจ้านายผู้สูงวัยน้อยๆก่อนจะเดินออกไปอย่างเงียบๆปล่อยให้
เขาเองนั่งยิ้มอย่างอารมณ์ดีหลังจากที่ได้รับรู้ถึงสถานการณ์ของหลานสาวของตัวเอง
กับหุ้นส่วนรายใหญ่คนนั้น

ปึก

“ฮโยมินครับ…ผมทำอะไรให้คุณไม่พอใจรึเปล่า”

“………….”

“เอ่อ…คุณฮโยมินครับ!”

ฉันไม่ได้สนใจเสียงเรียกตะโกนที่ดังออกมาจากผู้ชายในรถที่เพิ่งจอดลงที่หน้าบ้าน
นอกเสียจากการพาตัวเองเดินเข้าไปภายในพร้อมกับการมองหาคุณปู่

“คุณปู่กลับมารึยัง!”

“ย…ยังค่ะคุณหนู”

“ถ้าคุณปู่กลับมาแล้วมาบอกฉันด้วย”

“………..”

“ได้ยินรึเปล่า!”

“คค่ะ!….คุณหนู”

ปัง!

ตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ขนปุยสีขาวบริสุทธิ์กระเด็นไปติดอยู่ผนังเป็นรอบที่เท่าไหร่ของชั่วโมง
ที่ผ่านมาแล้วก็ไม่รู้หลังจากที่ฉันเข้ามาถึงห้องนอนของตัวเอง ยิ้มเยาะใหกับความโง่เง่าของ
ตัวเองที่หลงเชื่อผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงคนเดียวที่เธอเองยอมเอาตัวเข้าไปปกป้องจากคนที่
เจ้าตัวเองก็เกลียดมากที่สุด

“เห็นฉันเป็นตัวอะไรกันนะ”

ท่าทางเป็นห่วงเป็นใยรวมถึงการพาฉันมาส่งถึงที่บ้านในคืนที่ผ่านมานั่นเป็นการเสแสร้ง
ทั้งหมดงั้นเหรอ ภาพของการโอบประครองของคนทั้งสองที่เกิดขึ้นก่อนหน้ามันยังคงซ้ำเติม
ลงไปกับอารมณ์ร้อนๆของตัวเองให้เพิ่มมากขึ้นแต่มันคงไม่เท่ากับการที่เธอรีบเดินไปหาอีกคน
หลังจากที่ฉันฟาดฝ่ามือลงไปที่ใบหน้าสวยๆนั่น

ก๊อกๆๆ

“คุณหนูคะ”

ก็อกๆ+

“คุณ…”

แกร๊ก

“คุณปู่กลับมาแล้วใช่มั้ย”

“เปล่าค่ะ….คือว่าข้างล่าง”

ฉันเดินลงไปยังชั้นล่างของบ้านก่อนที่จะชะงักฝีกเท้าเอาไว้อยู่ที่บันได เมื่อมองเห็นใครบางคน
ที่ยืนอยู่ตรงหน้าบ้านพร้อมกับพอช์รคันสีขาวที่น่าเข้ามาจอดได้ไม่นาน เธอเดินเข้ามาใกล้
ในขณะที่ฉันเองก็กำลังเดินออกไป ใบหน้าที่เห็นอยู่ตอนนี้มันยังคงดูเย็นชาและเรียบนิ่ง
ถ้าหากไม่ฉันเองไม่สังเกตุเห็นแววตาที่แฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่อีกคนกำลังแสดงออกมา

“มาทำไม”

“เพื่ออธิบายทุกอย่างให้เข้าใจ”

“ไม่เห็นจำเป็นซักนิด”

“จะไม่ยอมฟังฉันจริงๆเหรอ”

เธอเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับสองมือที่จับเข้ากับหัวไหล่ของฉันทั้สองข้าง แววตาที่มองเห็น
อยู่ในตอนนี้ทำให้นึกเกลียดตัวเองที่แก้นิสัยกับความใจอ่อนไม่หายซักที เธอดึงฉัน
เข้าไปกอดเอาไว้โดยที่ฉันเองก็กำลังดิ้นขุกขลักอยู่อ้อมกอดของเธอ

ใครว่าไม่คิดถึงใครว่าไม่ต้องการอ้อมกอดของคนตรงหน้า แต่ในเวลาสมองมันกำลัง
สั่งให้ร่างกายทำในสิ่งตรงกันข้ามออกไป

“ปล่อย…”

“…………..”

“บอกให้ปล่อย”

“ฉันจะยอมปล่อยเมื่อพี่สัญญาว่าจะฟังสิ่งที่ฉันพูดทั้งหมด”

“คุณปู่….”

อีกคนผละฉันออกมาก่อนที่จะหันไปหาคุณปู่ที่กำลังเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจนัก
เธอโค้งให้คุณปู่เล็กน้อยก่อนที่จะย้ายตัวเองมายืนอยู่ข้างๆฉัน

“พรุ่งนี้จะมีงานเปิดตัวน้ำหอมอยู่แล้ว”

“…………..”

“เจ้าของงานยังมีเวลามาทำอะไรแบบนี้อยู่อีกเหรอ”

“เอ่อ…คือหนูมีเรื่องต้องคุยกับพี่ฮโยมินนิดหน่อยนะค่ะ”

“เอาเวลาไปดูแลนางแบบคนนั้นไม่ดีกว่าเหรอ”

“คนที่หนูอยากดูแลมากที่สุดมีแค่คนที่ยืนอยู่ข้างๆนี้เท่านั้นล่ะค่ะ”

“แล้วชวนฮโยมินไปงานที่ว่านั่นรึยังล่ะ…หื้ม”

“…………..”

“งานเปิดตัวนักปรุงน้ำหอมคนใหม่ของตระกูลพัค ที่มีนางอยย่างแบบจอง เจสสิก้ามา…”

“ขอโทษนะคะคุณปู่…หนูขอคุยเรื่องนี้กับพี่ฮโยมินเองดีกว่า”

“เอาอย่างนั้นเหรอ…”

“………..”

“ฮโยมินอ่า…ยังไงหลานก็ต้องไปให้ได้นะ”

“……………”

“ขนาดผู้หญิงที่เป็นแรงบันดาลของน้ำหอมกลิ่นนี้ยังมาเป็นตัวหลักของงานนี้เลย”

ปัง!

“พี่ฮโยมินเปิดประตูให้ฉัน!”

ปัง ปัง ปัง!++

“ออกไปให้พ้น!”

“ฉันจะไม่ไปไหนจนกว่าพี่จะยอมออกมาคุยกับฉัน!”

“ปล่อยฉัน!”

ปังๆๆๆ

“พี่ฮโยมิน!”

นั่นเป็นเสียงเรียกครั้งสุดท้ายก่อนที่ความเงียบจะเข้ามาครอบคลุมบรรยากาศภายใน
ห้องนอนของตัวเอง แล้วฉันก็หวังเอาไว้ว่าคุณปู่คงจะไม่กล้าสั่งให้คนของตัวเอง
ทำอะไรเธอมากไปกว่าการบอกให้เธอกลับออกไป ฉันทิ้งตัวเองลงนอนที่เตียงอย่าง
เหนื่อยอ่อนพร้อมความรู้สึกบางอย่างที่กำลังตีรวนชวนให้เกิดความขุ่นเคืองอยู่ภายในใจลึกๆ
ฉันกลับไปมีนิสัยชอบเอาแต่ใจและไม่สนใจฟังเหตุผลอีกครั้ง นั่นก็เป็นเพราะฉันเอง
ยกความรู้สึกของตัวเองให้เป็นที่หนึ่งมาก่อน

“มันเป็นคำสั่งของคุณพ่อ”

“แล้วอีกอย่างมันก็เป็นแค่งาน”

ครืนนนนน


เสียงขู่คำรามที่ดังขึ้นเรียกให้ฉันลุกขึ้นมาจากเตียงก่อนจะรีบเดินตรงไปยังบานหน้าต่าง
พร้อมสองมือที่กำลังจะรูดปิดม่านผืนยาวนั่นลง ในขณะที่สายตาของตัวเองก็ยังคงมองเห็น
รถของคุณปู่ที่แล่นออกไป เธอเองก็คงจะกลับไปแล้วถ้าหากว่าฉันไม่เห็นพอร์ชสีขาวยังคง
จอดอยู่ที่เดิม

ซ่า…..

ไม่นานนักท้องฟ้าที่มืดดำก็ปล่อยให้สายฝนเริ่มเทลงอย่างหนัก แล้วความสนใจทั้งหมด
ก็กำลังมุ่งไปยังร่างของเธอที่กำลังถูกผู้ชายสองคนโยนออกมาที่ลานหน้าบ้าน ฉันรีบซ่อนตัวเองจาก
สายตาของเธอที่กำลังมองขึ้นที่หน้าต่างห้องที่ฉันเองยืนอยู่ในขณะที่กำลังนึกโกรธคุณปู่
ที่ปล่อยให้คนของตัวเองทำเรื่องบางอย่างที่มันมากเกินไปแล้วจริงๆ

เปรี้ยง+

ฉันยกมือทั้งสองขึ้นมาปิดหูตัวเองเอาไว้ในขณะที่ท้องฟ้าที่มืดครึ้มกำลังฉายแสงสีขาววาป
ลงมา นึกโกรธตัวเองที่ปากใจอย่างใจอย่างเมื่อสองขารีบพาตัวเองเดินลงไปถึงชั้นล่าง

“ใครสั่งให้จับเขาโยนออกไปแบบนั้น!”

“ก็เขารบกวนคุณหนูนิครับ”

“มากเกินไปแล้ว!”

“………….”

“ให้เขาเข้ามาแล้วก็บอกให้เขากลับไป!”

“ค…ครับคุณหนู”

ฉันเดินขึ้นถึงชั้นบนเพื่อจะมารอดูสถานการณ์ข้างล่างอีกครั้ง ม่านผืนยาวที่ใช้ป้องกัน
แสงคำรามจากท้องฟ้าถูกเปิดออกพร้อมการเฝ้ามองคนของคุณปู่ที่กำลังเดินเข้าไปหาคน
ที่นั่งตากฝนอยู่ที่เดิม เกิดการยื้อแย่งกันไปมาอยู่ซักพักก่อนที่คนของคุณปู่จะส่ายหัว
แล้วเดินกลับมาในบ้านอย่างเดิม

“ทำไมถึงดื้อนักนะ”

ก็อกๆๆ

แกร๊ก

“คุณหนูครับเธอบอกว่าจะไม่ยอมไปไหนจนกว่าคุณหนูจะยอมคุยกับเธอ”

“ไปเขาว่า…ถ้าหากถูกฟ้าตายก็อย่ามาโทษว่าเป็นความผิดของฉัน”

ปัง!

บานประตูถูกปิดกระแทกลงอีกครั้งก่อนที่ฉันจะเดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งที่เตียง
พร้อมกับใช้ผ้าห่มคลุมตัวเองเอาไว้ นึกโมโหคนที่นั่งตากฝนอยู่ตรงนั้นกับความดื้อด้าน
อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ห้า

สี่

สาม

สอง

หนึ่ง

เปรี้ยง+

แกร๊ก

ฉันตัดสินใจพาตัวเองเดินลงไปชั้นล่างอีกครั้งผู้ชายยสองคนที่ยืนนิ่งอย่างไว้ท่าอยู่ที่
หน้าบ้านเริ่มหันมามองฉันด้วความแปลกใจก่อนที่ฉันจะแยกร่มในมือของเขา
เพื่อกางออกแล้วรีบเดินออกไปหาคนที่กำลังนั่งก้มนิ่งอยู่กลางสายฝน

“เลิกทำแบบนี้ซักที!”

“…………….”

“กลับไปได้แล้ว”

“ย…ยอมคุยกับฉันแล้วใช่มั้ย”

ฉันตะโกนแข่งอยู่กัยเสียงฝนที่เทลงมาไม่หยุดในขณะที่ร่างกายก็กำลังรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็น
จากเม็ดฝนที่สาดเข้ามาพร้อมกับการเดินเข้าไปใกล้เธอที่กำลังลุกขึ้นมาอยู่ภายใต้ร่มอันเดียวกัน
จ้องมองใบหน้าซีดขาวที่อาจเป็นเพราะความหนาวเย็นจากฝนที่เทลงมาอยู่ในตอนนี้

“คิดว่าตัวเองเป็นพระเอกละครรึไง!”

“หายโกรธฉันแล้วใช่มั้ย”

“แค่ไม่อยากให้ใครโดนฟ้าผ่าตายที่หน้าบ้านของตัวเอง”

“แสดงว่าก็ยังเป็นห่วงกันอยู่”

“ไม่ใช่ซะหน่อย!”

ฉันวางสายตาไปยังต้นไม้รอบๆเพื่อหลบเลี่ยงแววตาอ้อนวอนของคนตรงหน้า
ก่อนจะรู้สึกถึงได้ถึงความเย็นจากฝ่ามือของอีกคนที่ยื่นเข้าจับมือของฉันเอาไว้
นึกเกลียดตัวเองเป็นรอบที่ร้อยของวันกับความใจอ่อนของตัวเองและมักจะ
ยอมให้อีกคนอยู่เรื่อยๆ

“จะไม่ยอมฟังกันเลยจริงๆเหรอ”

“…………”

“ให้ฉันได้อธิบายเรื่องทั้งหมดให้พี่เข้าใจจะได้มั้ย”

เปรี้ยง!

แล้วสองมือก็เป็นอิสระจากร่มและความเย็นจากฝ่ามือของเธอเมื่อฉันเองกำลัง
ยกฝ่ามือทั้งสองข้างของตัวเองขึ้นมาปิดหูเอาไว้ แต่ความกลัวที่ว่านั้นมันก็ค่อยๆ
หายไปเมื่อเธอเองกำลังดึงฉันให้เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเธอพร้อมกับฝ่ามือ
ที่ยกขึ้นกดหัวของฉันให้ซุกเอาไหล่ของเธอ

“ปล่อย!”

ผลั่ก

“ไม่ต้องมากอด…เธอทำให้ฉันเปียกไปหมดแล้ว”

“ฉันรู้ว่าพี่กลัวเสียงฟ้าร้อง…”

“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น”

“ทำไมพี่ถึงใจร้ายกับฉันแบบ…”

“เข้าบ้าน!”

“อ…อะไรนะ”

“ก็บอกว่าให้รีบเข้าบ้านไง!”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
./
.
TBC.♥Minyeon

Adore you #23

บ้านตระกูลพัค
.
.
.
.
.
.
ปึก
.
.
.
ประตูรถแท็กซี่ถูกปิดกระแทกลงอย่างแรงตามอารมณ์ของผู้โดยสารที่กำลังก้าวลงมาจากรถ
ซึ่งนั่นมันกำลังสร้างความไม่พอใจให้กับคนขับอยู่ไม่น้อย แบงค์ในกระเป๋าถูกส่งเพิ่มให้อีกใบ
อย่างรู้ทัน ก่อนที่ร่างของผู้โดยสารคนเดิมจะเดินเข้าไปถึงหน้าบ้านของตัวเองอย่างไร้เรี่ยวแรง
แล้วแววตาที่เหม่อลอยทำให้สาวใช้ที่กำลังเดินออกมาถึงหน้าบ้านหลังใหญ่ของตระกูลพัค
นั่นเริ่มแปลกใจ

“คุณหนูมาค่ะคุณผู้หญิง”

สาวใช้รีบวิ่งเข้าไปหาผู้หญิงวัยกลางที่นั่งอยู่กลางโซฟาตัวยาวภายในบ้าน ก่อนที่ลูกสาว
ของตัวเองจะเดินเข้าไปในบ้านอย่างเงียบๆ
.
.
“คืนนี้หนูค้างที่นี่นะคะ”
.
.
น้ำเสียงเรียบๆเอ่ยออกมาก่อนที่จะโค้งให้กับแม่ของตัวเอง และยังไม่เปิดโอกาสให้ได้
ซักถามอะไรก่อนที่สองขาที่เหนื่อยอ่อนจะเดินขึ้นไปยังห้องนอนของตัวเองที่นานๆที
จะได้มานอนค้าง


กึก


ฝ่ามือเรียวยาวละจากลูกบิดสีทอง สองขาเดินเข้าไปนั่งลงยังปลายเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน
ก่อนที่จะภาพทั้งหมดของชั่วโมงก่อนหน้าจะเล่นวนเข้ามาหาอีกรอบ

.
.
.

“ไปเอายามาสิ!”

“ค..ค่ะ!”

ร่างของใครบางคนที่กำลังช่วยจับเธอเอาไว้อยู่บนเตียงเพื่อไม่ให้ดิ้นไปไหนได้
กำลังดำเนินอยู่ภายใต้สายตาของฉันทั้งหมด อาการที่ว่าก่อนหน้านี้มันเป็นอาการ
ของโรคเครียดที่เกิดจากเหตุการณ์ร้ายแรง มันไม่ใช่เหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด
ธรรมดาหรือการสูญเสียตามปกติที่พบในชีวิตแต่เป็นสถานการณ์ที่รุนแรงนอกเหนือจาก
เหตุของความเครียดปกติของชีวิตและมีลักษณะคุกคามต่อชีวิตของผู้นั้นหรือคนอื่นๆ
จนทำให้เกิดความกลัวความหวาดหวั่นอย่างรุนแรง และความรู้สึกช่วยเหลือแก้ไขไม่ได้
ผู้ที่ประสบอยู่ในเหตุการณ์นั้น อาจได้เห็นผู้อื่นบาดเจ็บและเสียชีวิตแต่ตนเองนั่น
กลับรอดชีวิตมาได้ในเหตุการณ์จะมีการเสียชีวิตหรือความเสียหายที่ส่งผลกระทบ
ต่อร่างกายหรือจิตใจอย่างมาก

“PTSD”

แม่บ้านที่ดูมีอายุรีบพาตัวเองพร้อมถาดในมือเดินเข้าไปหาคนทั้งสองที่อยู่บนเตียงนอน
ก่อนที่ยาในแก้วเล็กจะถูกส่งผ่านให้เข้าไปในร่างกายของเธอ ข้อมือที่พยายามรั้งดึง
ไปมาหยุดชะงัก แล้วฝ่ามือของใครบางคนที่เต็มไปด้วยรอยกัดก็ค่อยเป็นอิสระจากฟันของเธอ

อาการที่เริ่มอ่อนลงทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ในเวลาเดียวกันนั้นความรู้สึกบางอย่าง
จากภาพที่กำลังเห็นอยู่ในตอนนี้ก็ทำให้ฉันรู้สึกเจ็บปวด นอกการที่ไม่สามารถช่วยอะไรเธอ
ได้แล้วตัวเองยังเป็นต้นเหตุที่ทำให้เธอต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้ รวมถึงการที่ร่างของเธออยู่
ภายในอ้อมกอดของใครอีกคนที่รู้จักเธอดีกว่าเธอหลายเท่า แล้วในขณะเดียวแขนทั้งสองข้าง
ของเธอก็กำลังกอดเขาเอาไว้แน่น ฉันจึงตัดสินใจพาตัวเองเดินลงมาอยู่ที่ริมสระน้ำของคฤหานส์

“คุณหนูเธอน่าสงสารมากนะคะ”

เรื่องราวทั้งหมดถูกเล่าโดยแม่บ้านคนเดิม ในขณะที่ฉันยังคงยืนนิ่งทอดสายตาไปยัง
น้ำสีครามในสระ อุบัติเหตุที่ทำให้แม่ของตัวเองต้องเสียชีวิตโดยทางตำรวจสัณนิฐานว่าน่าจะ
เกิดจากคนขับรถเสียสมาธิ จึงก่อให้เกิดอุบัติเหตุที่พรากชีวิตของแม่ไปตั้งแต่เด็ก โดยคนที่
คิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุก็น่าจะเป็นคนที่นอนอยู่ข้างบน

“มันก็แค่การสันนิฐาน…ทำไมต้องโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองด้วยนะ”

“เพราะวันนี้คุณหนูไปกับคุณผู้หญิงแค่สองคนไงละคะ”

“…………”

“อาจจะตกใจจากรถคันอื่นก็ได้”

“รถของคุณผู้หญิงวิ่งข้ามเลนไปชนกับคันอื่นที่วิ่งมาปกติค่ะ”

“……….”

“ทุกคนเลยคิดว่าคุณหนูอาจกวนคุณหญิงตอนที่ท่านขับรถอยู่”

“จนถึงตอนนี้ก็ยังคิดว่าเป็นความผิดของตัวเอง”

“ใช่ค่ะ…มีอยู่ครั้งตอนที่คุณหนูเรียนอยู่ที่ฝรั่งเศล”

“…………..”

“เพื่อนของคุณหนูเคยพาคุณหนูขับรถไปเฉี่ยวรถคันอื่น…คุณหนูก็จะมีอาการแบบนี้น่ะค่ะ”

“แล้วครั้งนี้ก็เป็นเพราะฉัน…”

“อย่าโทษตัวเองเลยค่ะ…คุณไม่รู้เรื่องนี้นิคะ”



ในขณะทีฉันกำลังนึกถึงเรื่องราวที่ได้ฟังมาทั้งหมดเสียงฝีเท้าของใครบางคนก็ดังขึ้นจาก
บันไดงาช้างพร้อมกับแฟ้มเอกสารที่อยู่ในมือ ถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อใครคนนั้นเดิน
เข้ามายังจุดที่ฉันยืนอยู่

“คุณอึนจองจะเข้าบริษัทแล้วเหรอคะ”

“ดูแลฮโยมินดีๆด้วยละ….ถ้ามีอะไรให้รีบหาฉัน”

“ค่ะ…คุณอึนจอง”

“ส่วนคนที่ทำอะไรไม่ได้ก็ควรจะกลับไปซะ”

“ฉันทำได้แน่…”

“งั้นลองกลับไปคิดดูสิว่าใครที่ทำให้ฮโยมินกลับมาเป็นแบบนี้!”

“ฉ..ฉันไม่รู้..ถ้าฉันรู้”

“ไม่มีคำว่าไม่รู้…ต้องรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคนที่เรารัก”

“……………..”

“ทีนี้รู้แล้วหรือยังว่าความรักที่ฉันมีให้ฮโยมินมันมากกว่าเธอหลายร้อยเท่า”


.
.
.
.
.

“รู้สึกยังไงเวลาที่เราไม่สามารถช่วยอะไรคนที่เราได้เลย”
.
.
กึก
.
.
บานประตูห้องนอนปิดลงก่อนที่ฉันจะเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ข้างเตียงนอนสีขาว มองไปยัง
คนที่นอนอยู่ด้วยฤทธิ์ยาที่ส่งผลให้หลับอย่างง่ายดาย ตัดสินใจนั่งลงบนเตียงยกมือขึ้นสัมผัส
ที่แก้มข้างขวาที่ยังมีคราบน้ำตาติดอยู่

“ขอโทษนะคะ..เพราะฉันเองพี่เลยเป็นแบบนี้”
.
.
แกร๊ก
.
.
เสียงประตูบานเดิมดังขึ้นตามด้วยเจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้ที่เดินเข้ามา ฉันจึงลุกขึ้นยืน
อยู่ข้างๆเตียงแล้วคุณปู่ก็นั่งลงบนเตียงแทนที่ สายตาที่เริ่มจะพร่ามัวจ้องมองไปยังหลานสาว
ของตัวเองที่นอนอยู่ก่อนจะกระชับผ้าห่มขึ้นมาถึงระดับอกในขณะที่ฝ่ามือใหญ่ๆกำลังลูบหัวคน
ที่นอนอยู่ไปมา

“คงรู้ถึงสาเหตุที่ทำให้ฮโยมินป็นแบบนี้แล้วใช่มั้ย”

“ค.ค่ะ…”

“………….”

“ขอโทษนะค่ะ…เป็นความผิดหนูเองไม่ที่ระวัง..”

“เอาเถอะๆ…..ฉันรู้ว่าเธอเองก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้หรอก”

“…………”

“ตอนนี้กลับไปก่อนเถอะนะ”

“แต่หนูอยากรอให้พี่ฮโยมินตื่นขึ้นมาก่อน”

“คงอีกหลายชั่วโมง…ถ้าฮโยมินตื่นจะให้คนโทรไปบอกล่ะนะ”




……………………………………….






ก็อกๆๆ
.
.
.
.
“คุณหนูคะข้าวเย็นค่ะ”

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารยังคงดำเนินไปด้วยเสียงพูดคุยของคุณปู่และพ่อมาได้ซักพัก
จะมีก็เพียงแม่เท่านั้นที่นั่งมองฉันอยู่เงียบๆ ก่อนที่พ่อจะเอ่ยบางอย่างออกมา

“จียอนพักหลังมานี่เราไม่ค่อยเข้าไปดูร้านน้ำหอมเลยนะ”

“คือ…พอดีงานที่ไร่ยุ่งๆนะค่ะ”

“งั้นพรุ่งนี้ก็เข้าไปบ้างสิ”

“ค่ะ”

“แล้วเรื่องเปิดตัวน้ำหอมกลิ่นใหม่ไปถึงไหนแล้ว”

“คะ?”

“ลูกคงยังไม่รู้น่ะค่ะคุณ”

“นี่ลูกไม่ได้ฟังที่พ่อคุยกับคุณปู่เมื่อกี้เลยรึไง”

“แต่ถึงยังไงพ่อก็มีคนจัดการเรื่องนี้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ”

“ปัญหาอยู่ที่คนของพ่อจัดการไม่ได้นะสิ”

“ทำไมถึง”

“เพราะพ่อเขาอยากได้หนูเจสมาเดินเปิดงานนะลูก”

“คะ?”

ช้อนในมือถูกวางกระแทกกับจานอย่างไม่ตั้งใจเมื่อประโยคดังกล่าวถูกเอ่ยออกมาจากแม่
ในขณะที่พ่อของฉันยังคงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ทำไมต้องเป็นเขา”

“เพราะหนูเจสเหมาะกับน้ำหอมกลิ่นนี้”

“พ่อจำได้ว่าลูกเป็นคนปรุงน้ำหอมกลิ่นนี้ขึ้นมาเองไม่ใช่เหรอ”

“………….”

“PJY…No. 9′: J”

“หนูจะไม่ใช่ชื่อนั้นค่ะ”

“เอาล่ะๆเรื่องนั้นไม่สำคัญเท่ากับการที่หนูเจสยอมตกลง…”

“แต่มันจะไม่ซ้ำกับสายการบินนั่นเหรอคะ”

“ก็มันคนละอย่างกัน…ไม่เห็นต้องแคร์”

“หนูคิดว่าเราสามารถหาคนอื่นมาแทน..”

“นี่เป็นเบอร์โทรของหนูเจส…จัดการให้ด้วยล่ะ”



……………………………………………..


07: 45 น. คฤหาสน์ตระกูลพัค
.
.
.
.
.
.
.
.

“แม่คะ!”
.
.
.
.

“ฮโยมินอ่า”

เสียงไฟที่สว่างจ้าส่งผลให้ฉันหลับตาลงอีกครั้งในขณะที่สองแก้มก็รู้สึกถึงความชื้น
ที่น่าจะเกิดจากน้ำตาที่กำลังไหลลงมา ฉันค่อยๆปรือตาขึ้นมาอีกครั้งก่อนแขนของ
ใครบางคนจะสอดเข้าช่วยประครองให้ฉันพิงตัวลงกับหัวเตียง วางสายตาไปยัง
บรรยากาศรอบๆแล้วก็นึกขึ้นว่าที่นี่เป็นห้องนอนของตัวเอง

“พ…พี่อึนจอง”

“เป็นยังไงบ้าง”

“นี่กี่โมงแล้ว…แล้วจี

“เกือบ8โมงแล้วล่ะ….เราหลับไปนานมากเลยนะ”

“ฉันฝันร้าย…ฝันแบบนั้นอีกแล้ว”

“มันเป็นแค่ความฝัน…อย่ากลัวไปเลยนะ”

รอยยิ้มอบอุ่นที่ฉันคุ้นชินกับมันมานานมากแล้วระบายบนใบหน้าของพี่อึนจอง
พร้อมกับฝ่ามือที่ยื่นเข้ามาปัดผมยุ่งๆของฉันออกไปก่อนที่แก้วน้ำจะถูกส่งมาให้ตรงหน้า

“ขอบคุณค่ะ”

ฉันรับแก้วน้ำจากดื่มไปเกือบครึ่งแก้วก่อนที่จะส่งคืนให้พี่อึนจอง

“วันนี้ไม่ไปทำงานเหรอคะ”

“ก็เราเป็นแบบนี้พี่ไม่มีจิตใจจะไปทำงานหรอก”

“ขอบคุณนะคะ…แต่ตอนนี้ฉันไม่เป็นไรแล้ว”

“……………..”

“รอยนั่น…”

พี่อึนจองรีบซ่อนมือข้างนั้นไว้ด้านหลังก่อนที่จะยิ้มให้ฉันอย่างเช่นทุกครั้ง
ฉันจึงรีบยื่นมือเข้าไปข้อแขนของพี่อึนจองเอาไว้ได้ก่อน มองไปยังรอยกัด
ที่มันเป็นรอยช้ำที่เกิดขึ้นบนฝ่ามือตรงหน้า

“พี่ต้องมาเป็นเจ็บแบบนี้เพราะฉันไม่รู้กี่ครั้ง”

“………………..”

“ขอโทษ….ขอโทษนะคะ”

พี่อึนจองดึงตัวฉันเข้าไปกอดเอาไว้พร้อมกับฝ่ามือที่ลูบอยู่ผมของฉันไปมา
มันเป็นแบบนี้อยู่เสมอเพราะมันเป็นสิ่งที่พี่อึนจองชอบทำในเวลาที่ฉัน
เอ่ยขอโทษออกไป

“เธออย่าเจ็บอีกเลยนะ…ลืมมันไปเถอะฝันร้ายแบบนั้น”

“………………”

“เลิกคิดถึงมันเถอะนะ”

“ฉันจะพยายามค่ะ”

ฉันค่อยๆผละออกมาจากพี่อึนจองเมื่อมองเห็นโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างๆพร้อมกับ
ความคิดบางอย่างยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์มาเอากำเอาไว้

“เอ่อ….คือฉัน”

“เดี๋ยวพี่ลงไปเอามื้อเช้าขึ้นมาให้ดีกว่านะ”

หลังจากที่ประตูห้องปิดลงฉันกดโทรออกไปยังเบอร์โทรของคนที่กำลังนึกถึง
ฉันรออยู่ซักพักในขณะที่เจ้าของโทรศัพท์ยังไม่มีทีท่าว่าจะรับสายเลยซักนิด
เวลาผ่านไปเกือบสิบนาทีพร้อมกับการกระทำเดิมๆนั่นก็คือการกดโทรออกซ้ำๆอยู่แบบนั้น
.
.

กึก
.
.

บานประตูเปิดออกพร้อมกับพี่อึนจองที่เดินเข้ามาพร้อมถาดอาหารในมือ
ก่อนจะวางมันลงที่โต๊ะข้างเตียงที่ถูกยกมาเสริมไว้ข้างๆ

“กินข้าวก่อนจะได้กินยา”

“ฉันจะไม่กินยาอีกแล้ว”

“แน่ใจนะ”

“ค่ะ”



……………………………………………………………




“คุณจียอนคะโทรศัพท์น่ะค่ะ”

ฉันละสายตาจากบัญชีของร้านน้ำหอมที่วางอยู่ตรงหน้า หลังจากที่พนักงานคนหนึ่ง
เรียกชื่อฉันจ้องมองไปยังโทรศัพท์ที่วางอยู่ด้านหลังก่อนจะหยิบมันมาแต่ปรากฎว่า
หน้าจอมันกลับมืดสนิท

“มีที่ชาร์ตมั้ย”

“มีค่ะ”

ฉันยื่นโทรศัพท์ให้กับพนักงานคนเดิมก่อนจะหันมากลับมาสนใจอยู่กับรายละเอียด
กระดาษอีกปึกหนึ่งที่วางอยู่ข้างๆ แต่ในสมองมันกลับคิดวนอยู่กับเรื่องบางเรื่อง
ที่เกิดขึ้นในช่วงเช้าของวันนี้


“พี่ฮโยมินเป็นยังไงบ้าง”

“ยังไม่ตื่น”

“งั้นฉันจะขึ้นไปดูซักหน่อย”

“ฉันบอกแล้วว่าไงว่าฮโยมินยังไม่ตื่น”

“แค่ขอขึ้นไปดูหน่อยจะเป็นไรไป”

“อ่าวจียอนอ่า มาแต่เช้าเชียวนะ”

ฉันโค้งให้คุณปู่ที่กำลังเดินลงมาจากบันไดก่อนที่ท่านจะยื่นสูทและแฟ้มเอกสาร
สองสามอันในมือให้กับคนขับรถที่ยืนรออยู่ ฉันจึงละความสนใจจากอีกคนที่คุยอยู่
ก่อนหน้าหันมาหาคุณปู่ที่กำลังเดินเข้ามา

“ตอนนี้ฮโยมินยังไม่ตื่นหรอกนะ….เอาไว้สายๆค่อยมาใหม่ก็ได้”

“เอ่อ….คือว่า”

“แล้วนี่ทานมื้อเช้ามารึยังมาทานพร้อมกันสิ อึนจองด้วยนะ”

“ขอบคุณค่ะแต่ว่าหนูทานมาเรียบร้อยแล้วค่ะ”


…………………………………………..












“คุณคิวรีทำไมเดินแบบนั้นละคะ”


เสียงของพนักงานคนเดิมดังขึ้นทำให้ฉันละความสนใจออกมาจากความคิดของตัวเอง
ก่อนจะเห็นพี่คิวรีที่กำลังเดินผ่านมายังหน้าร้านของตัวเอง ฉันลุกขึ้นยืนในขณะที่
ท่าทางของพี่คิวรีก็กำลังชวนให้อยากรู้ถึงที่มาที่ไปของการเดินที่มันดูไม่ค่อยปกติมากนัก

.
.
.
.
.
.
“แล้ววันนี้ทำไมถึงเข้ามาที่ร้านได้ล่ะ”

“ฉันไม่ได้เข้ามานานแล้วอีกอย่างฉันมีนัดน่ะ”

“คงจะเป็นนัดสำคัญสินะเธอถึงยอมออกมา”

“เอ่อคือ…ที่ไร่ยุ่งๆน่ะฉันเลยไม่ค่อยได้เข้ามาหาพี่เลย”

“ช่างเถอะ”

“แล้วพี่เป็นยังไงบ้าง”

“ถูกถามแบบนี้รู้สึกเหมือนไม่ได้เจอกันมานานเป็นปี”

“นี่กำลังประชดฉันอยู่เหรอ”

จากท่านั่งไขว้ห้างที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับพี่คิวรีฉันก็ตัดสินใจลุกขึ้นก่อนจะไปนั่งคุกเข่า
อยู่ด้านหน้า แย่งหลอดยาในมือจากอีกคนออกมาแล้วบีบยาลงบนข้อเท้า แล้วก็เริ่มนวดเบาๆ
เป็นอย่างที่คิดเอาไว้เมื่อพี่คิวรีกำลังชักข้อเท้ากลับไปแต่ฉันที่ไวกว่าจึงจับข้อเท้าเอาไว้ทัน
แล้วก็เริ่มนวดข้อเท้านั่นอีกครั้ง

“จียอนอ่าไม่ต้องหรอก”

“อยู่เฉยๆเถอะน่า”

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

“เปล่า”

“กำลังโกหกเหรอดูสีหน้าเธอตอนนี้สิ…เล่าให้ฟังได้นะ”

“เสร็จแล้ว…ช่วงนี้ก็ไม่ต้องเดินไปไหนมาไหนบ่อยๆนะ”

“……………”

“พนักงานที่จ้างมาก็ใช้เค้าให้คุ้มๆหน่อย”

“ฉันจ้างพนักงานขายไม่ใช่พยาบาลส่วนตัว”

ฉันลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินเข้าไปล้างมือ แล้วกลับออกมาเจอคนส่งอาหารที่สั่งไว้พอดี
พาตัวเองไปลงนั่งที่เดิมพร้อมกับกำลังแกะอาหารพวกนั้นออก ในขณะที่พี่คิวรีก็กำลัง
ยุ่งกับน้ำดื่มที่พนักงานที่เพิ่งยกเข้ามาให้

“แล้วนี่จะกลับไร่ตอนไหน”

“ยังไม่แน่ใจเพราะต้องจัดการเรื่องเปิดตัวน้ำหอมกลิ่นใหม่ของพ่อเสียก่อน”

“ทุกทีเรื่องนี้ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเธอ”

“พี่ได้ยินข่าวของพี่สิก้าบ้างหรือเปล่า”



กึก


แก้วน้ำในมือของพี่คิวรีลงวางลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดังหลังจากที่ฉันพูดจบ
ฉันถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นสีหน้าของคนตรงข้ามที่เริ่มเปลี่ยนไป

“ผู้หญิงคนนี้….”

“พ่อจะให้เขามาเดินเปิดงาน”

“ว่าไงนะ”

“นั่นเป็นหน้าที่ของฉันที่จะต้องไปคุยกับเขา”

“คุณจียอนคะ มีสายเข้าค่ะ”

ฉันหันไปหาพนักงานของตัวเองที่เดินเข้ามาก่อนที่จะรับโทรศัพท์เอาไว้
ในขณะที่สายตากำลังมองเห็นเบอร์โทรของคนที่กำลังถูกพูดถึงปรากฏอยู่บนหน้าจอ

“ฉันต้องไปแล้ว”


…………………………………………………..


คฤหาสน์ตระกูลปาร์ค
.
.
.
.
.
.

“ไม่ค่ะ….ยังไงก็ไม่เด็ดขาด”

“แต่คุณปู่บอกว่าไม่จำเป็นต้องฝึกงานที่ไร่นั่นอีกแล้ว”

“อย่างน้อยๆเราก็ควรทำตามที่พูดเอาไว้…6 เดือนก็คือ 6 เดือน”

“เวลานี้ไม่จำเป็นอีกแล้ว…ทุกอย่างถุกเตรียมไว้หมดแล้ว”

“…………”

“แล้ว 6 เดือนต่อจากนี้คือการเรียนรู้งานเพื่อรอการเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการโรงแรมอย่างเต็มตัว”

“ฉันต้องคุยกับคุณปู่”

ฉันรีบลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ ใช้เวลาอยู่ในนั้นไม่นานนักก่อนจะออกมา
เสื้อผ้าในตู้ถูกหยิบออกมาอย่างไม่ใส่ใจมากนนัก รวมถึงการแต่งหน้าที่บางเบาในเวลา
ที่เร่งรีบเช่นนี้ พาตัวเองเดินลงมาถึงชั้นล่าง พี่อึนจองรู้ว่าฉันกำลังจะไปไหนเขาจึงไม่รอช้า
ที่รีบเดินเข้ามาหาแล้วเราก็เดินออกมาถึงหน้าบ้านชะงักตัวเองหยุดอยู่กับที่เมื่อมองเห็นรถที่จอดอยู่

“รอคุณปู่กลับมาก่อนก็ได้นิ”

“ไม่เป็นไรค่ะ…”

“พี่ขับรถดีจะตายไป…ไม่ต้องกลัวนะ”

………………………………………………….

ร้านอาหาร







ฉันเดินเข้ามาถึงโต๊ะเกือบจะเป็นส่วนในของร้าน ผู้หญิงที่กำลังนั่งหันหลังอยู่นั่น
หันมามองฉันพอดี สองขาจึงพาตัวเองเดินเข้าไปก่อนจะนั่งลงในส่วนตรงข้าม
แต่แว่นดำที่มาพร้อมกว้างปีกกว้างที่อีกคนสวมอยู่นั้นทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย

“ไม่รู้สึกรำคาญบ้างเหรอ”

ฉันเอ่ยออกไปก่อนที่จะพนักงานของร้านอาหารจะเข้าเสริ์ฟเค้กที่คิดว่าอีกคน
น่าจะเป็นคนสั่งเอาไว้ นึกพอใจที่เห็นเค้กที่วางลงบนโต๊ะยิ้มออกเมื่ออีกคนยังคง
จำได้ว่าฉันเองไม่ชอบช็อกโกแลต พนักงานเดินออกไปเมื่อฉันเลื่อนถ้วยชาเข้ามาหาตัว

“ฉันไม่ชอบคุยกับใครในสตอนที่มีแว่นดำปิดอยู่แบบนี้”

“……………”

“พ…พี่สิก้า”



…………………………………………



“ทำไมถึงพามาที่นี่ละคะ”

“พอดีคุณปู่บอกว่าท่านนัดกับลูกค้าไว้ที่นี่น่ะ”

ฉันเดินเข้ามาถึงร้านอาหารของห้างสรรพสินค้าที่เคยมาอยู่บ่อยๆ ก่อนจะเห็นคุณปู่
ที่นั่งอยู่ในร้านอาหารอิตาเลียน สายตากำลังมองหาลูกค้าคนที่ว่าอยู่ซักพักแต่ฉันก็ไม่
เห็นคนที่พี่อึนจองกำลังพูดถึง

“ลูกค้าคงจะกลับไปแล้ว”

“ไปหาคุณปู่กันเถอะ”

พี่อึนจองจับมือฉันให้เดินเข้าไปถึงโต๊ะด้านในสุดของร้านที่ถูกจัดเอาไว้เป็นมุมส่วนตัว
แต่ก็ยังสามารถมองเห็นโต๊ะอื่นๆได้ไม่ยาก ฉันหยุดยืนอยู่กับที่เมื่อสายตามองเห็นใครบางคน
ที่เฝ้าโทรมาตลอดในช่วงเช้ากำลังอยู่กับผู้หญิงที่ฉันเองก็รู้จัก ความร้อนผ่าวที่เกิดขึ้นทำให้
รู้สึกไม่ค่อยดีนักอาจเป็นเพราะการกระทำของคนทั้งสองที่ฉันเองเห็นอยู่ในตอนนี้

“ฮโยมินอ่าหยุดเดินทำไม”

“………………”

“บังเอิญเกินไปหรือเปล่าเนี่ย”

“……………..”

“เข้าไปทักหน่อยมั้ย”

“อย่าดีกว่าค่ะ”

ฉันปล่อยมือจากพี่อึนจองแล้วรีบเดินเข้าไปยังโต๊ะด้านก่อนจะนั่งลงข้างๆฝั่งเดียวกันกับ
คุณปู่ที่นั่งอยู่นานแล้ว

“หน้าบึ้งมาเชียวนะ…รู้สึกดีขึ้นแล้วใช่มั้ย”

คุณปู่ยิ้มให้ฉันอย่างเช่นทุกครั้งพร้อมการที่ฉันเข้าไปกอดคุณปู่ซักพักก่อนจะค่อยๆผละออก
เมื่อพี่อึนจองเดินเข้ามานั่งลงฝั่งตรงกันข้าม

“ค…ค่ะ”

“กินอะไรดีล่ะหื้ม…ปู่ไม่ได้กินข้าวกับเรามานานแล้วนะ”

“หนูไม่หิวค่ะ”

คุณปู่ยิ้มให้ฉันก่อนจะเรียกพนักงานของร้านเข้ามาเมนูอาหารวางลงพร้อมกับคุณปู่
ที่กำลังไล่ไปตามรายชื่อของเมนู ฉันไม่ได้ให้ความสนใจกับอะไรมากไปกว่าโต๊ะ
ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของร้าน ความน้อยใจและความโกรธบางอย่างกำลังก่อตัวทำให้
รู้สึกหงุดหงิดไม่น้อยทำไมถึงต้องย้ายไปนั่งฝั่งเดียวกัน ช่วงว่างระหว่างคนสองคนนั้น
แทบจะไม่ปรากฏเลยซักนิด แล้วที่สำคัญการที่เธอยกมือขึ้นมาสัมผัสอยู่กับใบหน้า
ของอีกคนอยู่นั่นทำให้ความน้อยใจที่มีอยู่เริ่มเปลี่ยนเป็นรู้สึกที่เจ็บปวดไม่น้อย
เมื่อนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

“เคยนึกเป็นห่วงฉันบ้างไหม…”

“ไม่ยอมรับโทรศัพท์แต่มานั่งทำอะไรกับใครอยู่แบบนี้นะเหรอ”



…………………………………………


“ไม่เป็นไร…ไม่เป็นไรจริงๆ”


รอยยิ้มฝืนๆที่อีกคนกำลังพยายามสร้างมันขึ้นมาทำให้ฉันอดไม่ได้ที่ยื่นมือเข้าไปประครอง
ใบหน้านี้เอาไว้ เกลี่ยปลายนิ้วไปยังรอยช้ำบริเวณขอบตา ในขณะที่ความโกรธบางอย่าง
ก็กำลังก่อตัวขึ้นเมื่อนึกย้อนไปถึงใครบางคน

“ทำไมเขาทำกับพี่แบบนี้”

“……………”

“เจสสิก้า!…ถ้าไม่ตอบคำถามฉัน”

“เราทะเลาะกันนิดหน่อย..ยูลเค้าคงเครียดเรื่องที่บริษัทมาก”

“แต่มันต้องไม่ใช่แบบนี้…ไม่ใช่ทำร้ายพี่แบบนี้”

“รอยแผลพวกนี้หายทันงานเปิดตัวน้ำหอมอยู่แล้วไม่ต้องห่วงนะ”

“………………”

“แต่ถ้ามันหายไม่ทันเมคอัพมันก็ช่วย…”

“หยุดพูดแบบนี้ซักที!”

อีกคนเงยหน้าขึ้นมามองฉัน ในขณะที่ฉันเอื้อมแขนเข้าไปโอบร่างที่สั่นไหวนั่นเอาไว้
เป็นห่วงฉันยอมรับว่าตัวเองรู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่กำลังเห็นอยู่ตอนนี้ มันไม่หมายความ
ถึงความรู้สึกที่มากไปกว่านี้ ฉันไม่ได้เจ็บปวดแต่กำลังสงสารอีกคนนั้นมากกว่า

“พี่ทนเค้าได้ยังไง”

“…………”

“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกใช่มั้ย”

ฉันค่อยผละอีกคนออกก่อนจะมองใบหน้าที่รื่นไปด้วยหยดน้ำใสๆเกลี่ยนิ้ว
ปาดน้ำตานั่นออกไป มันไม่ควรจะมีความหม่นหมองและหยดน้ำ
ปรากฏอยู่บนใบหน้าที่ยังดูสวยและสง่าอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ฉันยกมือขึ้นลูบลง
บนเรือนผมเบาๆเมื่ออีกคนเข้ามากอดฉันเอาไว้พร้อมกับเสียงสะอึกสะอื้นที่ยังคงไม่หยุด
.
.

ปึก
.
.
ตัวของฉันถูกดึงออกมากจากพี่สิก้าก่อนที่ใครบางคนจะเข้ามาแทรกอยู่ตรงกลาง
ฉันลุกขึ้นมองหน้าคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ที่กำลังโกรธจัดตรงหน้า มันคือใบหน้า
ของคนที่ฉันไม่ได้เจอมาแล้วนานหลายปี ก่อนที่เขาจะจับข้อแขนของพี่สิก้าไว้แน่น

“นี่ใช่มั้ยเหตุผลที่เธอกลับมาที่นี่!”

“ยูล!”

“กะแล้วเชียว…ฉันเครียดจนจะบ้าตายอยู่แล้วแต่เธอกับมานั่งกอดอยู่เด็กคนนี้!”

“……………”

“ใช่สิตอนนี้ฉันมันใกล้จะเหลือแต่ตัวแล้วนิ…”

“…………..”

“เธอมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับผู้หญิงคนอื่นๆที่ทิ้งฉันไปในวันที่ฉันกำลังแย่!”

“หยุดพูดแบบนี้ใส่พี่สิก้าเดี๋ยวนี้ถ้าไม่รู้อะไร!”

“ไม่ต้องมายุ่ง!”

ฉันเดินเข้าไปคว้ามือของอีกคนที่กำลังบีบข้อแขนของพี่สิก้าออกไปก่อนที่จะใช่ตัวเอง
บังตัวของพี่สิก้าเอาไว้

“ถอยไป”

“น่าเสียใจแทนพี่สิก้า…เขารักคนอย่างคุณไปยังไงนะ”

“ไม่ว่าจะเป็นตอนนั้นหรือว่าตอนนี้เจสก็เลือกฉัน…เจสรักฉันได้ยินมั้ย!”

“ยูลพอเถอะ!”

ประโยคที่อีกคนเอ่ยออกมากระตุ้นอารมณ์บางอย่างที่เคยหมอดดับให้ประทุขึ้นมาอีกครั้ง
รวมถึงรอยยิ้มที่ฉันนึกเกลียดมันที่สุดกำลังเผยออกมาอย่างตั้งใจ มันเหมือนกับคืนที่เคย
ผ่านมาแล้วเกือบสี่ปีไม่มีผิด รวมถึงรอยยิ้มที่ใช้มองฉันในตอนที่ฉันโดนขวดเหล้าในมือ
นั่นฟาดลงมาที่หัว

“ไอ้เด็กขี้-แพ้”

“ยูลฉันบอกให้หยุด!”

“ยังไงแกก็แพ้ฉันอยู่วันยังค่ำ”

ฉันเดินเข้าไปใกล้คนตรงหน้าก่อนที่จะกระชากไปยังเสื้อสูทตัวนอกนั่นเอาไว้แน่น
จ้องเข้าไปในแววตาของคนเจ้าเล่ห์ที่ยังไม่เคยเปลี่ยนแปลงตัวเองไปเลยแม้แต่นิด
แล้วในนาทีต่อมาฉันกำลังคิดว่าฉันไม่สามารถควบคุมตัวเองเอาไว้ได้เมื่อฉัน
เหวี่ยงอีกคนลงไปกระแทกเก้าอี้อย่างแรง
.
.
ปึก!
.
.
“จียอนอ่า…”

พี่สิก้าเอื้อมมือมาจับข้อมือของฉันเอาไว้ส่ายหัวให้ฉัน ห้ามไม่ให้ฉันทำอะไรอีกคน
ไปมากกว่านี้ นั่นก็เพราะสายตาของคนในร้านที่เริ่มหันมาสนใจโต๊ะที่ฉันยืนอยู่

ฉันจึงตัดสินใจเดินอ้อมไปอีกด้านหนึ่งของโต๊ะก่อนจะหยิบกระเป๋าตังที่วางทิ้งเอาไว้
แต่คนที่เพิ่งล้มลงไปกับเก้าอี้กลับลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ในขณะที่พี่สิก้าก็กำลังห้าม
ไม่ให้เขาเดินเข้ามาหา เกิดการยื้อฉุดกันไปมาก่อนที่คนที่กำลังโมโหจะหมดความอดทน
ผลักพี่สิก้าออกไปแล้วยกมือขึ้นมา
.
.

เพลี้ย!
.
“จียอน!”
.
.

หน้าของฉันหันไปตามแรงจากฝ่ามือของอีกคน แก้มข้างนึงรู้สึกชาวาบ
ยิ้มให้ความโง่เง่าของตัวเองที่เข้ามายุ่งในเรื่องไม่เป็นเรื่อง นั่นก็คือการเอา
ตัวเองมาบังพี่สิก้าเอาไว้

พี่สิก้าเดินอ้อมมายืนหยุดหน้าฉัน แล้วใช้ร่างกายของตัวเองบังพร้อมจับมือ
ของฉันเอาไว้ ความเงียบที่เคยเกิดขึ้นถูกทำลายด้วยเสียงฝ่ามือที่กระทบลง
บนใบหน้าจนเขาเองสะบัดไปตามแรงตบที่เกิดจากฝ่ามือพี่สิก้า
.
.
.
เพลี้ย!
.
.

“จ..เจส…”

“กลับไปซะ…แล้วอย่ามาเจอกันอีก”

“…………..”

“ฉันจะไม่ช่วยยูลอีกต่อไปแล้ว”

“…………..”

“แล้วฉันก็จะไม่กลับไปที่ฝรั่งเศลอีก”

“พี…พี่สิก้า”

“ไม่นะ…ยูลขอโทษนะอย่าเลิกกับยูลเลยนะ”

“ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว…ฉันหมดความอดทนกับยูลแล้วจริงๆ”

“เพราะเด็กคนนี้ใช่มั้ย…เพราะมันใช่มั้ย!”

“ยูลอย่านะ!”

คนที่กำลังโกรธจัดผลักพี่สิก้าออกไปก่อนที่ฉันเองจะถูกกระชากคอเสื้อเอาไว้
อีกคนเหวี่ยงฉันให้ล้มลงติดกับเก้าอี้ ในขณะที่แผ่นหลังกำลังรู้ปวดหนึบ
ความวุ่นวายกำลังเกิดขึ้นพร้อมกับเสียงซุบซิบของคนภายในร้าน พนักงานของร้าน
รีบวิ่งเข้ามาที่โต๊ะของฉันแต่มันก็คงไม่น่าตกใจเท่าผู้หญิงคนนึงที่กำลังเดินเข้าพร้อมกับ
การ์ดตัวสูงอีกคน

“ถ้ากล้าทำอะไรเขาอีกละก็…..”
.
.
.
.

“พ…พี่ฮโยมิน”

ฝ่ามือที่กำแน่นค่อยๆคลายออกจากคอเสื้อของฉัน ก่อนที่การ์ดคนนึงกำลังเดินเข้ามาใกล้
แต่อีกคนก็เหมือนจรู้ตัวเองว่ากำลังเสียเปรียบเขาจึงยอมพาตัวเองออกไปจากร้านอย่างรวดเร็ว
ฉันจึงรีบพาตัวเองลุกขึ้นยืนจัดการกับเสื้อที่ยับยู้ยี้ให้เรียบร้อยพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้เธอที่ยืนอยู่

ฉันรีบโค้งให้กับคุณปู่ที่เพิ่งจะเดินออกมาจากโต๊ะส่วนในสุดของร้าน เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
เมื่อท่านกำลังแสดงอาการส่ายหัวไปมารวมถึงการถอนใจให้กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้

“นี่น่ะเหรอคนที่จะมาดูแลหลานของฉัน…”

“………….”

“แค่ไม่กี่วันก็สร้างความวุ่นวายให้ไม่หยุดหย่อน”

ท่านเดินออกไปพร้อมกับการ์ดสองคนก่อนที่ฉันจะเงยหน้าขึ้นมาเห็นใครอีกคน
ที่กำลังเดินเข้ามาจับมือของเอาไว้เธอ

“พี่เป็นยังไงบ้าง…ดีขึ้นแล้วใช่มั้ย”

“…………..”

“เมื่อก็เช้ารู้สึกดีขึ้นแล้ว…แต่ตอนนี้กำลังรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก”

“เมื่อเช้าฉันเข้าไปหาแต่…”

“ไปกันเถอะฮโยมินอ่า”

“กลับไร่กันเถอะนะ…วันนี้เรากลับไร่กัน”

“นั่นเจสสิก้าหรือเปล่า”

“คนนี้เขาเป็นนางแบบไม่ใช่เหรอ”

“ใช่แน่ๆ….ถ่ายรูปเก็บไว้สิ”

“ทำไมหน้าเธอเป็นรอยแบบนั้นละ”

เสียงซุบซิบที่ดังขึ้นทำให้คนที่ถูกเอ่ยถึงรีบหันกลับไปหยิบแว่นและหมวก
มาใส่เอาไว้อย่างรวดเร็วเพราะคงไม่ดีแน่ถ้ารูปของตัวเองในสภาพแบบนี้
หลุดออกไป

“ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกลับไปที่ไร่นั่นอีกแล้วล่ะ”

“ท.ทำไม….”

“ฉันเพิ่งตกลงกับคุณปู่ไปแล้วว่าจะกลับมาช่วยงานที่โรงแรม”

“ฮโยมินไปกันเถอะ”

อีกคนรีบพาเธอเดินออกไปในขณะที่คนในร้านกำลังยกโทรศัพท์ของตัวเองมากดถ่ายรูป
พี่สิก้าเอาไว้ โดยไม่สนใจเลยว่าเจ้าตัวจะเต็มใจหรือไม่ จากหนึ่งคนก็กลายเป็นสองแล้ว
เวลาต่อมาคนพวกน้นก็กำลังเดินเข้ามาใกล้

“โธ่เอ้ย!”

ฉันรีบดึงมือของพี่สิก้าแล้วเดินฝ่าคนพวกนนั้นออกไปโดยไม่ได้สนใจคำถามมากมาย
ที่กำลังดังขึ้นจากด้านหลัง เดินออกมาถึงลานจอดรถก่อนจะยัดอีกคนให้เข้าไปนั่งในรถของตัวเอง

…………………………….

ปึก!
.
.
.

ประตูที่ปิดกระแทกลงทำให้คนที่รับหน้าที่คนขับหันมามอง ในขณะที่ความรู้สึกที่กำลังตีกัน
กำลังทำให้ฉันรู้สึกไม่ดีเลยซัดนิด ความร้อนเกิดขึ้นที่ดวงตาที่ฉันคิดเข้าข้างตัวเองว่าคงจะ
มีสาเหตุมาจากความโกรธแค่เพียงอย่างเดียวไม่ใช่แค่ความน้อยใจหรือเสียใจแต่อย่างใด
ทำให้ฉันต้องเงยหน้าขึ้นพยายามกลั้นน้ำใสๆที่กำลังคลออยู่ไม่ให้มันไหลออกมา แต่แล้ว
ตัวของฉันกำลังถูกดึงเข้าไปกอดเอาไว้แล้วน้ำใสๆที่พยายามกลั้นเอาไว้ก็เริ่มไหลลงมา



.
.

ฮึก…..
.
.

“อยากร้องก็ร้องออกมาเถอะนะ”

“ท..ทำไม…เขาถึงต้องทำแบบนี้ด้วย”

“……………..”

“ทำไมเขาต้องเอาตัวเองไปบังเจสสิก้าแบบนั้น”
.
.
ฮึกๆ
.
.

พี่อึนจองกำลังลูบผมของฉันไปมาเพื่อหวังจะปลอบให้ฉันหยุดร้องไห้
อยู่ซักพักก่อนที่ฉันจะผละออกมาเมื่อสายตามองเห็นพอช์รคันสีขาว
ที่กำลังเเล่นออกไป

“นั่นมัน…”

สายตาของฉันยังคงปกติดีทุกอย่าง ฉันเห็นแม้กระทั่งผู้หญิงคนนั้นที่นั่งอยู่ในรถ
รวมถึงป้ายทะเบียนที่ฉันเองก็จำได้แม่น

“ฮ..ฮโยมินอ่า”

“กลับบ้านเถอะค่ะ”

ฉันวางสายตาไปยังสองเส้นทางตรงหน้าที่ถูกโอบล้อมไปด้วยตึกหลังใหญ่เต็มไปหมด
รวมถึงการเจรจรที่กำลังแฝงไปด้วยความเร่งรีบ ภาพทั้งหมดชวนให้ฉันนึกถึง
บรรยากาศที่ไร่กุหลาบ เพราะความสงบและอากาศที่ปลอดโป่งไม่สามารถหาได้
จากที่นี่ ยังรวมไปถึงใครบางคนที่ตัวเองต้องการมากที่สุดคนนั้นอีกด้วย
.
.
.

ครืด….ครืด
.
.
.

โทรศัพท์ในกระเป๋าดังขึ้นก่อนที่ฉันจะหยิบมันออกมากดปิดเมื่อฉันเห็น
เบอร์โทรของคนที่กำลังคิดถึงนั่นโชว์อยู่บนหน้าจอแล้วมันก็กำลังเกิด
คำถามในหัวของฉันขึ้นมา

“ทำไมคนเรามักจะทำตามในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับหัวใจด้วยนะ”
.
.
.
ปึก
.
.

ฉันเดินลงมาจากรถเมื่อพี่อึนจองดับเครื่องลงยังประตูหน้าบ้าน พาตัวเองเดินออก
ที่ริมสระน้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ถัดออกมาก่อนที่พี่อึนจองจะเดินตามเข้ามาแล้วนั่งลง
ยังเก้ากี้ตัวข้างๆ

“อย่าทำหน้าแบบนี้สิ”

“……………..”

“ตอนที่ฉันไปกับเขา…พี่รู้สึกแบบนี้เหรอเปล่า”

“………..”

“รู้สึกเจ็บที่อกด้านซ้ายแบบฉันตอนนี้มั้ย”

“ฮโยมินอ่า…คนเราเลือกใครไม่ได้หรอกนะ”

“……….”

“ไม่อย่างนั้นเธอจะรักเขาแล้ว…แล้วพี่จะรักเธออยู่แบบนี้เหรอ”

“ไม่เห็นจะเข้าใจซักนิด”

พี่อึนจองขยับตัวเองเข้ามาใกล้ก่อนจะค่อยๆดึงฉันให้เข้าไปหา สองเเขนที่กำลัง
กอดฉันอยู่ในตอนนี้กลับทำให้ฉันนึกถึงใครอีกคน ใครบางคนที่สาเหตุให้ฉันค่อยๆ
ยอมให้น้ำตามันไหลออกมาอีกครั้ง เปลือกตาปิดลงอย่างไม่คิดสนใจการกระทำ
จากพี่อึนจอง ยอมให้สัมผัสเเผ่วเบาที่เกิดขึ้นกับริมฝีปากแต่ไร้ความรู้สึกมันเลยผ่านไปอย่างไม่ใส่ใจ





กริ๊ง

.
.
.

กุญแจรถที่ถืออยู่ในมือตกกระทบลงบนพื้นหินอ่อนของคฤหาสน์ตระกูลปาร์ค
ฉันกำลังโทษเสียงรถของตัวเองที่มันเงียบเกินไปหรือว่าอาจจะโทษคนสองคน
ที่ไม่ได้สนใจเลยว่าจะมีใครเข้ามาเห็นการกระทำทั้งหมดอย่างในตอนนี้ดีล่ะ
ความรู้สึกยิ่งกว่าการถูกตบหน้ากำลังแล่นเข้ามาจุกอยู่ที่ลำคอจนทำริมฝีปาก
ไม่สามารถที่จะเอื้อนเอ่ยคำอธิบายทั้งหมดที่เกิดจากการเข้าใจผิดจากเหตุการณ์
ก่อนหน้าได้เลยซักนิด

“จ..จียอนอ่า”

ฉันก้มลงเก็บกุญแจรถที่หล่นอยู่ตรงพื้นขึ้นแล้วกำมันไว้แน่น คริสตัลที่แตกละเอียด
ที่ติดอยู่กับพวงกุญแจกำลังทำให้เลือดของฉันไหลออกมาจากอุ้งมือ แต่ไม่รู้เพราะอะไร
ที่ทำให้ฉันยิ่งกำมันแน่เอาไว้อย่างนั้น ก่อนที่ฉันจะหันเดินกลับไปหารถที่จอดเอาไว้

“จียอน!”

ปึก

บรืนนนนนนนนนนน…………..
.
.
.

ความเร็วของรถถูกเร่งไปตามแรงอารมณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนั้น มือที่กำเข้ากับพวงมาลัย
ยังบีบแน่นอยู่อย่างนั้นโดยไม่ได้สนใจความเจ็บปวดที่มัยนกำลังเกิดขึ้น ฉันตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทาง
อย่างกระทันหัน ในขณะที่โทรศัพท์ในกระเป๋าก็ถูกหยิบออกกดโทรออกไปยังเบอร์โทรของพี่คิวรี

“พ…พี่จะกลับถึงคอนโดกี่โมง”

“………………..”

“คืนนี้ฉันไม่อยากอยู่คนเดียว”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
TBC.

Adore you #22





17 .09 น. #ไร่กุหลาบ













“ตุ๊ด…ตุ๊ด”





โทรศัพท์เครื่องหรูในมือถูกหยิบออกมาต่อสายหาคุณปู่ทันทีที่กลับมาถึงบ้านต้นไม้
ความเหนื่อยอ่อนจากการขนส่งองุ่นล็อตสุดท้ายถูกวางเอาไว้ข้างหลังเมื่อหูได้ยินเสียง
ตอบรับจากปลายสาย

“คุณปู่คะป้าแม่บ้านบอกว่าคุณปู่โทรหาหนูหลายครั้ง”

กรอกสายหวานเข้าไปในสายตามแบบหลานสาวสุดที่รักไปเบาๆ ในขณะที่มือก็ยุ่งอยู่กับ
กระดุมเสื้อเม็ดบนที่ต้องการจะแกะออกเพราะความอึดอัดมาที่เกิดขึ้นมาทั้งวันแม้ว่าอากาศที่นี่
จะค่อนข้างเย็นแต่มันก็เทียบไม่ได้ความเหนอะหนะที่เกิดจากเหงื่อมาตลอดทั้งวัน

“คะ?!”

เสียงดังที่กรอกเข้าไปยังปลายสายทำให้อีกคนที่เพิ่งเดินตามเข้ามาถึงในบ้านหันไปมองอย่างสนใจ
ก่อนที่สองขาจะเดินเข้าไปหาคนที่กำลังเอียงหูอยู่กับโทรศัพท์พร้อมกับเข้าไปช่วยจัดการกับกระดุมแขนเสื้อ
ที่อีกคนพยายามจะแกะมันออก ยื่นมือทั้งสองข้างเข้าไปปลดกระดุมออกให้อย่างเบามือจนคนที่โทรศัพท์อยู่
ต้องยืนอยู่นิ่งๆพร้อมกับยื่นมืออีกข้างสลับจับโทรศัพท์อีกข้าง กระดุมถูกแกะออกก่อนที่อีกคนจะพับแขนเสื้อ
ให้อย่างเรียบร้อยจากนั้นก็หันตัวเองเดินเข้าไปหยิบรีโมททิ้งตัวลงนั่งโซฟาหน้าทีวีปล่อยให้ข่าวสารของวันไหลเข้าไปในหู

“พรุ่งนี้เหรอคะ!”

เสียงที่ดังขึ้นจากริมหน้าต่างทำให้คนที่นั่งสนใจการพยากร์สภาพดินฟ้าอากาศหันไปสนใจอีกครั้ง

“แต่หนูคุยกับคุณปู่แล้วนะคะ…ว่าจะขออยู่ที่ไร่ให้ครบ 6 เดือนก่อน”

น้ำเสียงที่ขุ่นมัวรวมถึงประโยคที่อีกคนกรอกเข้าไปในสายทำให้คนที่นั่งอยู่หน้าทีวีหันไปหา
แต่คราวนี้กับสบตาเข้ากับคนที่ยืนคุยโทรศัพท์เข้าพอดี ใบหน้าที่ดูเย็นชาไม่รอดพ้นสายตา
ของอีกคนไปได้ก่อนที่ทีวีจะปิดลงแล้วคนที่อยู่หน้าทีวีก็ลุกขึ้นเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
จนคนที่คุยโทรศัพท์อยู่ต้องถอนหายใจออกมาเพราะรู้อยู่แล้วว่าอีกคนคงไม่ค่อยพอใจ
นักกับบทสนทนาที่เกิดขึ้นก่อนหน้า

“คุณปู่คะ….แต่ว่าพรุ่งนี้”

ถอนหายใจออกไปเมื่อผู้มีพระคุณในสายเอ่ยออกมาเป็นคำสั่งให้ไปพบในช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้
กรอกสายตามองเพดานไปมาอย่างเหนื่อยอ่อน แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งตกใจเมื่อเสียงบานประตู
ห้องนอนจากด้านในปิดกระแทกลงจนเกิดเสียงดัง
.
.
ปัง!
.
.

“ค่ะๆ พรุ่งนี้หนูจะเข้าไปหาที่โรงแรมนะคะ”


โทรศัพท์ในมือถูกยัดใส่กระเป๋าอย่างไม่ใส่ใจในขณะที่จมูกเริ่มได้กลิ่นของอาหารที่คาดว่าน่าจะเป็น
มือเย็นของวันนี้ลอยออกมาจากห้องครัว สองขาจึงพาตัวเองเดินเข้าไปก่อนจะเห็นแม่บ้านที่กำลัง
ยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารอยู่ในครัวพร้อมกับสาวใช้ที่กำลังยัดขวดไวน์ให้จมลงไปในถังไม้ที่อัดแน่น
ด้วยน้ำแข็งจนล้นออกมา

“จะมีใครมาหรือเปล่าทำไมอาหารถึงเยอะขนาดนี้”

“เปล่าค่ะ…แล้วคุณต้องการอะไรหรือเปล่าคะ”

“ฉันแค่มาหาน้ำดื่มน่ะ”

“ป้าคะเทียนหอมอยู่ตรงไหน!”

“อยู่บนชั้นที่เดิมไง”

สาวใช้หันไปก้มๆเงยๆอยู่กับชั้นไม้สีขาวอยู่ซักพักก่อนจะหยิบกล่องที่น่าจะบรรจุด้วย
สิ่งที่ตัวเองต้องการแล้วเอี่ยวตัวมาหยิบไฟแช็กแล้ววิ่งจู๊ดออกไปจากห้องครัวอย่างรวดเร็ว

“คุณคะ…รีบไปอาบน้ำเถอะค่ะอาหารพร้อมแล้วนะคะ”

“………..”

“แล้วก็ใส่ชุดสวยๆด้วยนะคะ”



น้ำจากฝักบัวที่อยู่ในอุณหภูมิปกติถูกเปิดให้ไหลชะโลมผ่านร่างกายพร้อมทั้งครีมอาบน้ำ
ที่มีกลิ่นหอมเฉพาะอบอวลทั่วห้องน้ำ อากาศที่ร้อนอบอ้าวของวันนี้ทำให้ฉันใช้เวลา
อยู่ในห้องน้ำนานกว่าปกติ ความเหนื่อยล้าบางส่วนลดลงไปได้บ้างในขณะที่สายน้ำ
กำลังไหลผ่านร่างกายอีกรอบ

บานประตูถูกเปิดออกก่อนที่ฉันจะเดินเข้าไปหาราวแขวนผ้าที่ทำด้วยไม้สีขาวที่ตั้งอยู่มุมห้อง
สายตาสำรวจไปยังชุดที่แขวนอยู่ในขณะที่กำลังคิดวนไปมาอยู่ว่าใครกันที่จะมาร่วมทานมือเย็น
ของวันนี้เพราะดูจากจำนวนอาหารที่เห็นในตอนที่ป้าแม่บ้านกำลังเตรียมอยู่นั้นมันเยอะเสียจน
ขนาดที่ว่าคนสองคนคงไม่สามารถทานหมด ความคิดทั้งหมดหยุดลงเมื่อฉันหยิบเดรสตัวสั้น
ลายดอกเล็กๆเปิดหัวไหล่ที่ดูเบาสบายออกมาจากราวแขวนก่อนที่หันไปหากระจกอันใหญ่
ที่ตั้งอยู่ข้างๆทับมันลงบนตัวของตัวเองก่อนที่จะเดินเข้าไปเปลี่ยน
.
.
.
.
.


เทียนหอมที่ตัวเองเป็นคนลงมือทำเองกำลังส่องสว่างระหว่างทางเดินที่เชื่อมออกมาจากตัวบ้าน
ยาวไปถึงระเบียงไม้รวมถึงกลิ่นหอมเฉพาะที่ฉันเป็นคนคิดขึ้นเองลอยเข้ามาชักชวนให้ฉันพาตัวเอง
เดินเข้าไปใกล้ โคมไฟสีนวลที่สว่างไสวรวมถึงกุหลาบจำนวนมากที่ถูกจัดเอาไว้ตามแบบที่ฉันต้องการ
ทำให้ฉันยิ้มออกมาเมื่อนึกไปถึงตอนที่อีกคนจะมาเห็นในอีกไม่นานนี้

เดินออกมาหยุดอยู่ที่ใต้โคมไฟยกมือทั้งสอวข้างวางไว้กับขอบระเบียงวางสายตาไปยังทุ่งหญ้ากว้าง
ที่ลู่ไปตามทิศทางลมหลับตาสูดกลิ่นหอมของพันธุ์ไม้ที่ปลูกเอาไว้ ก่อนที่จะลืมตาเงยหน้าขึ้นมา
มองดาวที่กระจายอยู่เต็มท้องฟ้าสีครามเข้ม สายตาชะงักหยุดอยู่กับพระจันทร์ดวงใหญ่ข้างบน
ยิ้มออกมาเมื่อฉุกนึกถึงข่าวที่ได้เปิดดูในตอนที่กลับมาจากไร่เมื่อสองชั่วโมงก่อน

“จริงสิ..ซุปเปอร์มูน”

เดินเข้าไปในบ้านอีกครั้งในขณะที่กำลังนึกถึงกล้องดูดาวของคุณปู่ที่จำได้ตั้งแต่ในตอนเด็กๆ
ว่าฉันเคยนั่งดูดาวกับคุณปู่ที่ระเบียงที่เดียวกันนี้

.
.
.
.

แกร๊ก
.
.
.
สองขาพาตัวเองเดินออกมาจากห้องนอนหลังจากที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ความเงียบในเวลานี้
รวมถึงการที่ฉันไม่เห็นใครซักคนอยู่ในบ้านทำให้เกิดความแปลกใจอยู่ไม่น้อย

สอดสายตาสำรวจไปทั่วทุกมุมบ้านในขณะที่จมูก็เริ่มได้กลิ่นหอมบางอย่างลอยเข้ามา
ฉันจึงไม่รอช้าเมื่อสองขาเริ่มพาตัวเองเดินออกไปตามกลิ่มหอมมาเรื่อยๆก่อนที่จะมาหยุด
อยู่ที่ทางเชื่อมจากตัวบ้านมาถึงระเบียงไม้ด้านนอก แสงไฟระยับที่ส่องสว่างตามทางเดิน
ไปจนถึงระเบียงไม้กว้างๆนั่นทำให้ฉันแปกลใจอยู่ไม่น้อย รวมถึงกุหลาบสีขาวที่ถูกจัดเอาไว้
รอบๆและโต๊ะอาหารที่วางอยู่ตรงกลางไหนจะเมนูอาหารมากมายที่ถูกจัดไว้อย่างตั้งใจ
ไม่รอช้าฉันเดินเข้าไปใกล้ป้าแม่บ้านด้วยคำถามที่กำลังจะถามออกไปแต่คำตอบที่ได้มา
ก็มีเพียงรอยยิ้มน้อยๆจากนั้นป้าแม่บ้านก็หันไปช่วยสาวใช้อีกสองคนให้เนรมิตระเบียงไม้
ให้กลายเป็นสถานที่ที่ดูโรแมนติกได้ไม่น้อย

ยิ้มออกมาน้อยๆไม่รู้ว่าเพราะจะเป็นการเข้าข้างตัวเองมากเกินไปหรือเปล่า
เมื่องสายตามองเห็นตัวเทียนหอมที่วางเรียงเป็นตัวอักษรอยู่ตรงพื้นไม้
.
.
.
J + H
.
.
.
“ออกมารึยัง!”


หมุนตัวไปหาต้นเสียงจากด้านหลังที่ดังขึ้นลุกขึ้นยืนละสายตาจากเทียนพวกนั้นมามอง
คนที่เพิ่งเข้ามาถึงระเบียงไม้พร้อมกับกล้องสีขาวที่ดูเกะกะด้วยขาตั้งกล้องมากมายที่เธอจับเอาไว้ในมือ


///////”ถึงกับต้องแต่งตัวขนาดเลยเหรอ”




“บอกมาว่าใครจะมา!”


เธอรีบเดินมาหาก่อนจะส่งสายตาให้ทุกคนออกไปจากระเบียงไม้ เดินเข้ามาจุดที่ฉันยืนหยุด
ก่อนจะตั้งกล้องเอาไว้พร้อมกับก้มเงยๆอยู่กับขาของมัน โดยที่ไม่ยอมตอบคำถามฉันเลยซักคำ

“อ่า…ตรงนี้จะเห็นชัดรึเปล่า”

“เดี๋ยวนี้กล้าเมินคำถามฉันงั้นเหรอ”

“มานั่งตรงนี้สิ”


เธอยิ้มให้บางๆก่อนจะจูงมือของฉันเดินมาถึงตรงโต๊ะอาหารที่จัดเอาไว้ เก้าอี้เลื่อนออก
ก่อนที่ฉันนั่งลงเรียบร้อยแล้วจากนั้นเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามก็เป็นที่นั่งของเธอ แล้วสูทสีดำ
ที่พาดอยู่กับพนักเก้าอี้ก็ถูกเธอหยิบมาสวมเอาไว้ สังเกตุได้ว่าชุดที่เธออยู่ในตอนนี้
มันดูดีมากเลยทีเดียว รอยยิ้มน้อยๆเกิดขึ้นเมื่อฉันเห็นเธอกำลังจับผมที่รวมมัดเอาไว้ไปมา
อย่างกับว่ากำลังเช็คความเรียบร้อยของตัวเองผ่านหน้ากระจกอย่างนั้น รวมถึงท่าทางเงะงะ
ของเธอก็ทำให้ฉันยิ้มออกไปอีกจนได้

“ฉันดูตลกมากเลยเหรอ”

“เปล่าน่ารักดี….ทำอย่างกับว่าดินเนอร์กับสาวครั้งแรกอย่างนั้นแหละ”

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้”

“หื้ม?”

“ทั้งหมดนี่…ก็เพื่อพี่คนเดียว”

“อะไรนะ?…หมดนี่งั้นเหรอ”

“…………”

“เอาใจงั้นเหรอ”

ฉันก้มมองอาหารบนโต๊ะทั้งหมดรวมถึงทุกอย่างรอบๆตัวรู้สึกดีและแปลกใจไม่น้อยกับคำตอบ
ที่เธอเอ่ยออกมา แล้วก็ต้องรีบเงยหน้าขึ้นมามองคนตรงข้ามอีกครั้งเมื่อสองหูได้ยินประโยคบางอย่าง


“พรุ่งนี้ไปเดทกันนะ”


——————————————————-








“ฉันจะกลับฝรั่งเศล!”

“แต่เธอรับงานฉันไว้…คิดจะเบี้ยวหรือไง”

“ก็หาคนมาแทนสิ”

“แต่บอร์ดบริหารลงความคิดว่าควรจะเป็นเธอ”

“ฉันจะไม่เสียเวลาทำเรื่องที่ไม่ประโยชน์อีกแล้ว!”

“โอเค…ฉันจะช่วยเรื่องยูล”

เสียงผ่อนลมหายใจดังออกมาเมื่อเห็นว่าอีกคนคงจะยอมรับข้อเสนอที่ได้เอ่ยออกไปก่อนหน้า
ยกน้ำสีทองในแก้วที่วางอยู่ขึ้นมาจิบก่อนจะวางลงบนโต๊ะ วางสายตาไปยังบรรยากาศของคลับ
ที่ตัวเองชอบมาอยู่ประจำ ในขณะที่ผู้หญิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็กำลังจะลุกขึ้นย้ายตัวเองกลับไป
ยังโต๊ะของตัวเองที่เดินออกมา แต่ในนาทีต่อมาผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนของเจ้าของคลับแห่งนี้
ก็กำลังเดินเข้ามาโต๊ะที่ฉันนั่งอยู่ ฉันจึงเอ่ยออกไปก่อนที่ผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามจะลุกออกไป

“เจสสิก้าอย่าเพิ่งไปสิอยู่เป็นเพื่อนฉันซักห้านาที”

“แต่…”

“ช่วยหน่อย”

“มานานรึยังคะ?”

เสียงหวานจากคนมีใบหน้าไม่ต่างจากน้ำเสียงซักเท่าไหร่ดังขึ้นก่อนที่คนมาใหม่จะเดินเข้ามาถึงโต๊ะที่ฉันนั่งอยู่
ไม่ว่าเวลาไหนผู้หญิงที่เข้ามาใหม่ก็ดูสวยและแฝงไปด้วยเสน่ห์ที่น่าดึงดูดใจอยู่ตลอดเวลารวมถึงเดรสสั้นสีดำ
ที่เปิดไหล่ที่ใส่อยู่มันทำให้ความเซ็กซี่ที่ฉันเคยเห็นอยู่ไม่เคยลดลงแม้แต่น้อย

“ซักพักแล้วละค่ะ”

“เอ๊ะ…พาใครมาด้วยคะเนี่ย”

“เจสสิก้าค่ะ…”

“อ๋อ…..คนนี้เองเหรอคะตัวจริงสวยมากเลยนะคะ”

“คุณรู้จักฉันด้วยเหรอคะ”

“แค่ได้ยินชื่อของสายบินของอึนจองทุกคนเค้าก็นึกถึงคุณกันทั้งนั้นแหละค่ะ”

“คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้งคะ”

“อย่าปฏิเสธเลยไม่งั้นฉันจะขอร้องให้เธอทำงานให้ฉันต่อเหรอ”

“ว่าแต่คุณ?”

“ฉัน…ทิฟฟานี่ค่ะ”
.
.
.

แล้วในค่ำคืนนี้ก็ผ่านไปอย่างความรวดเร็วในขณะที่เราสามคนก็ยังคุยกันไปเรื่อยๆพร้อมกับแอลกอฮลล์
ที่กำลังซึมแทรกเข้าไปในร่างกายในจำนวนไม่น้อย ถ้าไม่สังเกตุดีๆละก็ฉันเห็นแววตาของผู้หญิงทั้งสอง
ที่เพิ่งจะรู้จักกันเริ่มคุยกันถูกคอมากกว่าคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก น้ำเสียงและเเววตาของคนทั้งสองทำให้
ฉันรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่มากเกินกว่านั้น


“อึนจองคะ”

“……….”

“อึนจองดูคุณจะเมามากแล้วนะคะ”

“ฉันว่าฉันกำลังจะกลับอยู่พอดี”

“ไหวมั้ยคะ”

สองขาค่อยๆยันตัวเองให้ลุกขึ้นมาจากโต๊ะ ปรับระดับสายตานิดหน่อยก่อนที่จะพาตัวเองเดินออกมา
บอกกับคนทั้งสองว่ายังไหวเพราะฉันเองก็ไม่ได้รู้สึกมึนในระดับที่ควบคุบตัวเองไม่ได้เดินผ่านโต๊ะหลายโต๊ะ
ออกมาเรื่อยๆใกล้จะถึงทางออกของคลับถ้าไม่เห็นผู้หญิงคนนึงที่ฉันเองก็จำได้ไม่ผิดนั่งอยู่ดื่มอยู่คนเดียวเงียบๆ
ชะงักฝีเท้าลงทันทีก่อนที่จะหมุนตัวเองกลับไปเมื่อเห็นผู้ชายคนนึงที่กำลังเดินเข้ามาหาผู้หญิงที่นั่งอยู่ด้วยท่าทางแปลกๆ
แล้วไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้ฉันรีบเดินเข้าไปที่โต๊ะนั่นอย่างไม่รีรอ


“มาคนเดียวเหรอครับ”

“แล้วเห็นว่ากับใครล่ะ!”

“คุณ!”

“ผมไม่ได้ถามคุณ”

“แต่ฉันมากับเธอ”

ผู้ชายตรงหน้าแสยะยิ้มก่อนที่จะยอมเดินออกไป หันไปหาอีกคนที่นั่งอยู่ก่อนที่จะถอดเสื้อตัวนอก
สวมทับให้จากกด้านหลังจนอีกคนหันมาหา แต่ด้วยสีหน้าที่เห็นอยู่ตอนนี้ทำให้ฉันไม่ค่อยวางใจนัก
ว่าอีกคนจะสามารถขับรถกลับบ้านของตัวเองได้หรือไม่

“ให้ฉันไปส่งมั้ย”

“………..”

“ที่ถามก็เพราะไม่อยากติดค้าง”

“เอาเสื้อของคุณคืนไป…ฉันกลับเองได้”

เสื้อตัวนอกที่เกิดจากความหวังดีถูกอีกคนถอดออกก่อนจะโยนกลับมาให้จนฉันรับเอาไว้ไม่ทัน
จากนั้นเธอก็หันกลับไปนั่งอยู่ในท่าเดิม

“รู้อย่างงี้ไม่เข้ามายุ่งตั้งแต่แรกก็ดี”

“ใครขอกัน”

“นี่…ถ้าเมาแล้วจะปากดีขนาดนี้ละก็”

“นี่คุณ!ปล่อยฉันนะ”

ฉันรีบละมืออกมาจากซิปหลังของชุดที่อีกคนใส่อยู่ออกมาอย่างรวดเร็ว ในขณะที่สายตาของคนในร้าน
ก็เริ่มหันมามองฉันเป็นสายตาเดียวก็เพราะใครละถ้าไม่ใช่อีกคนที่หันมาทำเสียงดังใส่ฉันอยู่ตอนนี้

“ก็มันเปิดอยู่ฉันอุตส่าห์หวังดีชุดเธอมันเปิดออกจนเห็น…”

“ช่างฉัน”

“จะนั่งรอเจ้าของไร่มาสนใจรึไง”

“แล้วคุณล่ะ”

“…………”

“ไม่มีใครสนใจเหรอ…ถึงได้คอยยุ่งเรื่องคนอื่นไปทั่ว”

“นี่เธอ!……ถ้าฉันไม่เห็นว่าเธอเคยช่วยฉันไว้วันนั้นละก็อย่าหวังเลยว่าฉันจะเข้ายุ่งเรื่องของเธอ”

“ลืมเรื่องนั้นไปเถอะ”

น้ำเสียงที่ฟังดูเรียบเฉยเอ่ยออกมาก่อนที่อีกคนจะเรียกให้พนักงนเข้ามาเก็บตังแล้ว
พยายามจะลุกขึ้นแต่ท่าทางที่เห็นอยู่ตอนนี้ทำให้ต้องส่ายหัวไปมากับความอวดเก่ง
จนแล้วจนรอดฉันก็ต้องยอมเป็นคนที่ยุ่งเรื่องของคนอื่นอีกจนได้ เมื่อสองแขนยื่นออกไป
ประครองอีกคนเอาไว้ แล้วมันก็เป็นเหมือนที่ฉันคิดไว้ไม่มีผิดเธอกำลังจะว่าฉันที่เข้ามายุ่ง
แต่เวลานี้ความหงุดหงิดที่เกิดขึ้นจากความอวดเก่งมันก็สั่งให้เอ่ยบางอย่างออกไปเสียงดัง

“อยู่เฉยๆเถอะน่า!”

ฉันประครองอีกคนออกมาจนมาถึงที่จอดรถสายตากวาดหารถของคนที่ยังเกือบจะหลับ
ที่อยู่อ้อมแขนของฉัน ไม่นานนักฉันก็จำได้ว่ารถทรงประหลาดสีขาวที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก
เป็นรถของอีกคนสองขาจึงเดินออกไปเรื่อยๆจนมาถึงที่รถ

“นี่คุณกุญแจรถ….”

“………..”

“คุณ!”

“จะ..ทำอะไร”

ฉันล้วงเข้าไปในกระเป๋าโดยไม่รอให้อีกคนอนุญาติก่อนจะค้นหากุญแจรถแล้วในนาทีต่อมา
กุญแจก็ถูกเอาออกมาก่อนที่ประตูจะเปิดออกจัดการพาอีกคนเข้าไปนังยังเบาะข้าง
แต่ด้วยแรงขัดขืนที่ดิ้นขลุกขลักทำให้ฉันต้องออกแรงจนส้นสูงของอีกคนพลิก

“โอ้ย!”

“บอกให้อยู่เฉยๆฉันจะไปส่งเธอเอง!”

“ทำไมต้องตะโกนด้วยเล่า!!!”

“ก็ได้ๆไม่ตะโกนแล้ว…แล้วจะเข้าไปนั่งในรถดีๆได้หรือยัง”

ฉันค่อยพาอีกคนเข้าไปนั่งที่เบาะข้างก่อนที่จะเดินวนเข้ามาประจำที่คนขับน้ำเสียงอู้อี้
ที่บอกถึงชื่อคอนโดทำให้ฉันเกือยจะไม่ได้ยินก่อนที่เจ้าของเสียงจะหลับไป แล้วโทรศัพท์
ในกระเป๋าก็ถูกเอาออกมาก่อนจะโทรไปบอกให้คนมาเอารถของฉันตามที่คอนโดของคนที่นั่ง
อยู่เบาะข้าง แล้วรถเต่าคันเล็กสีขาวก็แล่นออกไปตามเส้นทางในยามค่ำคืนของกลางเมือง
.
.
.
……………………………………………………….





ไร่กุหลาบ 22: 47 น.




สายลมเอื่อยๆที่พัดผ่านเส้นผมของอีกคนให้เข้ามาหาใบหน้าของฉันทำให้ฉันต้องยกมือขึ้น
จัดให้มันทัดเอาไว้หลังหูของเธอ แอบมองเสี้ยวของเธอในขณะที่เธอกำลังทอดสายตาไปยัง
บนท้องฟ้าที่ในเวลานี้ดวงจันทร์ที่ที่ลอยอยู่ข้างบนนั้นมีขนาดใหญกว่าทุกครั้งที่เคยเห็น

ยิ้มอย่างเป็นสุขเมื่อเธอเบียดตัวเองให้เข้าอยู่ในอ้อมกอดของฉัน เรานั่งอยู่บนโซฟาตัวยาว
ที่ฉันเป็นคนบอกให้แม่บ้านจัดเอาไว้ให้ ผ้าห่มผืนบางถูกดึงขึ้นถึงระดับอกของเธอในขณะที่
ฉันก็อยู่ในท่ากึ่งนอนกึ่งนั่งพร้อมร่างของเธอที่กำลังซุกเบียดอยู่อ้อมกอด กลิ่นหอมจากเรือนผม
ของเธอทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะค่อยเคลื่อนหน้าเข้าไปหาแล้วค่อยๆฝังจมูกลงไป แอบแกล้งด้วยการ
เลื่อนริมฝีปากเข้าไปใกล้ใบหู จมูกก็ลากไล่ไปมาอยู่ในบริเวณนั่นยิ้มออกมาพอใจเมื่อรู้สึกถึงอาการ
ห่อไหล่ของเธอพร้อมกับสัมผัสที่ฝ่ามือข้างขวาก่อนที่ฉันจะค่อยๆผละออกมา

“หนาวเหรอ”

“เปล่าซะหน่อย”

“ทำไมต้องตัวสั่นด้วย”

ยิ้มออกไปอีกครั้งก่อนจะโอบตัวของเธอเอาไว้ในขณะที่เธอเองก็ทิ้งน้ำหนักลงมาที่ตัวฉันทั้งหมด
พร้อมกับอาการส่ายหัวไปมา ฉันเห็นรอยยิ้มเขินๆที่เธอปิดเอาไม่มิด คิ้วเลิกสูงขึ้นอย่างเป็นคำถาม
เมื่อเธอหันเข้ามาหายกสองมือของตัวเองโอบแก้มทั้งสองข้างของฉันเอาไว้ จ้องมองฉันเอาไว้
รู้สึกอึกอักบอกไม่ถูกไม่สายตาคู่หนึ่งที่กำลังจดจ้องใบหน้าของฉันเอาไว้ จนบางทีก็รู้สึกร้อนผ่าวๆที่แก้ม

“ทำไมถึงสวยแบบนี้นะ”

“ส…สวยงั้นเหรอ?”

ท่าทางพยักหน้างึกๆของอีกคนทำให้ฉันอดสงสัยไม่ได้ เพราะตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน
นี่คงจะเป็นครั้งแรกที่เธอพูดอะไรแบบนี้ออกมาแล้วก็รู้แปลกๆนิดหน่อยกับคำชมที่เธอเอ่ยออกมา

“พ…พูดแบบนี้ต้องการอะไรรึเปล่า”

“แล้วคิดว่าฉันต้องการอะไร”

“ใครจะไปรู้”

“แต่ฉันรู้ว่าเธอรู้”

หัวใจเริ่มเร่งกระตุกเร็วขึ้นเมื่ออีกคนเกลี่ยปลายนิ้วไปมาอยู่กับริมฝีปาก มันรู้สึกวูบวาบมากกว่าเดิมหลายเท่า
เมื่อฝ่ามือเล็กๆค่อยสอดเข้ามาภายใต้เสื้อที่ใส่อยู่ หลับตาลงรับสัมผัสที่กำลังบดเบียดอยู่กับริมฝีปาก
ฝ่ามือของตัวเองเริ่มเย็นเฉียบและไร้เรี่ยวแรง จนเธอต้องผละออกไปแปลกใจกับประโยคที่เอ่ยขึ้นตามหลัง

“จะไม่มากกว่านี้…ถ้าเธอไม่เอ่ยปากขอ”

เสียงหัวเราคิกคักทำให้ฉันไม่พอใจกับการกระทำก่อนหน้ามากเท่าไหร่นักเมื่อเห็นว่าอีกคนกำลัง
แกล้งทำให้ฉันปั่นปวน อาการบ้าๆที่ว่านี้เริ่มเข้ามารุมเร้าให้ฉันอยากจะมัดตัวเองให้ติดเอาไว้กับอีกคน

“จะแกล้งกันไปถึงไหน”

“ต้องการฉันเหรอ”

“พี่นี่มัน….”

“ให้ก็ได้…แต่เธอต้องให้ฉันบ้าง”
.
.
คิก
.
.
“ไปนอนกันเถอะ!”

“ฉันก็เริ่มคิดถึงหมอนเน่าแล้วเหมือนกัน”

“มีฉันแล้วยังจะต้องการมันอีกเหรอ”

“คืนนี้ฉันจะนอนกอดมัน…”

“แล้วฉันล่ะ”

“แยกห้อง”


……………………………………………………..






รถบีเอมสีขาวคันหรูแล่นเข้ามาจอดยังหน้าโรงแรมปริ้นเซทก่อนที่ประตูฝั่งคนขับจะเปิดออก พนักงานหน้าโรงแรม
ดูเหมือนว่าจะไร้ความจำเป็นเมื่อประตูอีกฝั่งกำลังเปิดออกด้วยคนขับที่เดินวนมาเปิดให้กับผู้หญิงที่นั่งมาด้วย
รอยยิ้มจางๆถูกระบายออกมาบนใบหน้าของหลานสาวเจ้าของโรงแรมให้กับอีกคนที่ยืนรออยู่แล้วก่อนที่คนทั้งสอง
จะเดินเข้าไปภายใน พนักงานของโรงแรมหลายคนกำลังทำตัวไม่ถูกเมื่อเห็นคนทั้งสอง รอยยิ้มบางๆตามแบบ
ของหลานเจ้าของโรงแรมผู้ร่างเริงระบายบนใบหน้าให้กับพนักงานที่กำลังโค้งน้อยๆ แต่มันกลับแตกต่างจากใบหน้า
ของอีกคนที่มาด้วย

“ยิ้มหน่อยสิ…จะเก๊กไปไหน”

“ฉันไม่ชอบยิ้มให้กับคนแปลกหน้า”

ลิฟต์โปร่งแสงกำลังพาคนทั้งสองขึ้นไปยังหมายเลขชั้นที่ปรากฏอยู่ เพียงชั่วอึดใจลิฟต์ก็เปิดออก
ก่อนที่เลขาที่รอยู่แล้วจะรีบเดินเข้ามาหาอย่างกระตือรื้อล้น

“ท่านรออยู่แล้วครับคุณหนู”

“สบายดีนะคะ”

หลานสาวเจ้าของโรงแรมส่งรอยยิ้มและการทักทายอย่างเป็นกันเองไปยังเลขาผู้ชายวัยกลางคนที่เดินเข้ามาหา
ก่อนที่จะหันมาอีกคนที่มาด้วย

“เข้าไปหาคุณปู่กัน”

“เอ่อ…ท่านสั่งเอาไว้ว่าให้คุณหนูเข้าไปคนเดียวน่ะครับ”

“พี่เข้าไปเถอะ…เดี๋ยวฉันรออยู่ข้างนอกดีกว่า”

“แต่ว่า…”

“เถอะนะ…”

“งั้นคุณจียอนเชิญนั่งรอทางนี้ครับ”
.
.
.
ฉันเดินออกมานั่งรออยู่ที่ห้องรับรองที่ถูกจัดเอาไว้อยู่อีกด้านหนึ่งกรอกสายตาไปมาอยู่กับบรรยากาศรอบๆ
โทรศัพท์ในกระเป๋าถูกหยิบออกมาก่อนที่จะเห็นผู้ชายตัวสูงที่ดูดีอยู่ในสูทลำลองเดินมาเข้ามานั่งรออยู่ที่โซฟาตัวข้างๆ
จากนั้นพนักงานผู้หญิงคนนึงก็เดินเข้ามาพร้อมกับกาแฟก่อนที่จะวางมันลงให้กับตัวเองและผู้ชายที่กำลังล้วงโทรศัพท์ออกมา

“ผมเพิ่งมาถึงครับพ่อ..กำลังรอเข้าพบท่านอยู่”

“ไม่พลาดหรอกครับ…เห็นบอกว่าวันนี้หลานสาวก็จะเข้ามาด้วย”

ประโยคของผู้ชายที่กำลังยกกาแฟขึ้นจิบทำให้ฉันละสายตาจทกโทรศัพท์แล้วเงยหน้าขึ้นมามองคนข้างๆ

“ผมเคยเจอเค้าแล้วแค่นี้ไม่น่าจะยาก”

“ครับ…พ่อไม่ต้องห่วงนะครับ”

หลังจากบทสนทนาจากโทรศัพท์นั่นจบลงฉันก็ยังคงไม่ละสายตาจากใบหน้าของผู้ชายคนข้างๆ
จนเขาเองเลิกคิ้วอย่างสงสัย

“มองผมแบบนี้…มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“คุณรู้จักหลานสาวเจ้าของโรงแรมด้วยเหรอ”

“ก็แค่เคยไปทานข้าวกับเธอนะครับ”

“อย่างนั้นเหรอ”

“ผู้หญิงสาวๆแถมยังเป็นหลานสาวเจ้าของโรงแรมที่นี่”

“…………….”

“ไม่มีใครอยากเข้าหาหรอกครับ…คุณก็น่าจะรู้ดี”

“…………….”

“เรียนจบนอกแม้จะหัวสูงไปหน่อยมั่วฝรั่งไปบ้าง แต่มันก็คุ้มไม่ใช่เหรอครับ”

คำพูดทั้งหมดจากผู้ชายที่นั่งอยู่ในท่าไขว่ห้างที่โซฟาข้างๆทำให้ฉันกำฝ่ามือเข้าหากันจนซีดก่อนที่อารมณ์โกรธ
จะสั่งให้ฉันทำบางอย่างที่ไม่คาดคิดลงไป เมื่อฉันลุกขึ้นเดินแล้วไปหยุดอยู่ตรงหน้าของผู้ชายคนนั้น
.
.
ผลักก!
.
.
“นี่คุณทำบ้าอะไรเนี้ย!”

“…………”

“กล้าทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง!!!”

ชุดสูทที่เคยดูดีก่อนหน้าเลอะไปด้วยกาแฟร้อนๆที่ฉันเป็นคนราดลงไปบนอกของคนที่กำลังโวยวายอยู่ในตอนนี้
ยิ้มให้กับคนที่กำลังโมโหก่อนจะวางถ้วยเซรามิกนั่นกระแทกลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดัง

“ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงคนไหนคุณก็ไม่ควรจะเอาเขามาพูดลับหลังแล้วทำให้เขาเสียหายแบบนี้”

“…………”

“เพราะคนที่ฟังอยู่เขาอาจจะเป็นเพื่อน พี่น้อง ญาติ”

“……………”

“หรือแม้กระทั่งคนรัก…..ของคนที่คุณพูดถึงอยู่ก็ได้!”

“จียอนอ่า!”/”ท่านครับ!”

ฉันหันไปตามเสียงของเธอที่ดังขึ้นก่อนที่จะโค้งน้อยๆให้คุณปู่ที่กำลังเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจนัก
พนักงานหลายคนเริ่มเดินเข้ามา ในขณะที่ฉันก็ยื่นมืออกไปจับมือของเธอเอาไว้แน่น

“ท่านครับผู้หญิงคนนี้เป็นใคร!”

“เอ่อ…ต้องขอโทษแทนเพื่อนของหลานฉันด้วยนะ”

“ขอโทษนะคะ…แต่คุณปู่ไม่ควรจะไปขอโทษคนที่พูดจาแย่ๆใส่พี่ฮโยมินแบบนี้”

“ปู่ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่ที่นี่ไม่ใช่ไร่กุหลาบที่เราจะเสียมารยาทกับแขกของปู่แบบนี้”

“……………”

“ถึงกับเอากาแฟราดแบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ”

“คุณปู่คะ…ถ้าคุณปู่ยังไม่สามารถหาคนที่ดีกว่านี้มาได้”

“…………….”

“ได้โปรดให้หนูเป็นคนดูแลพี่ฮโยมินต่อไปเถอะค่ะ”

.
.
.

ปึก!
.
.

ประตูรถเปิดกระแทกลงตามอารมณ์ของคนขับก่อนที่บีเอมคันสีขาวจะแล่นออกไปจากพื้นที่ของโรงแรม
ด้วยความเร็วที่เกิดขึ้นภายใต้การบังคับของความโกรธ ความเร็วของรถกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนคนที่นั่ง
มาด้วยต้องหันไปมองแล้วดูเหมือนว่าคนขับจะรู้ตัวก่อนจะค่อยๆลดความเร็วลงให้อยู่ระดับปกติ

“คุณปู่คุยอะไรกับพี่…ถึงจะเสียมารยาไปหน่อยแต่ฉันก็อยากรู้”

“……………….”

“เพราะทุกเรื่องที่เกี่ยวกับพี่มันก็เกี่ยวกับฉันด้วย”

“ที่พูดกับคุณปู่เมื่อกี้หมายความว่าอย่างนั้นจริงๆหรอก”

“อือ….ฉันจะดูแลพี่ต่อไป”

“ต่อไปนี่หมายถึงว่าอีกนานแค่ไหน”

“…………..”

“2 เดือน 1 ปี 3 ปี 5ปี หรือว่าแค่วันพรุ่งนี้”

“หือ?”

“หรือว่าจนกว่าคุณปู่จะคนที่ดีมาดูแลฉันแทนเธอได้”

“…………….”

“แบบนั้นใช่มั้ย…”

“ฉ…ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น”

“แล้วทำไมต้องพูดแบบนั้น”

“……………….”

“ถ้ามีคนที่ดีกว่าเข้ามาเธอก็จะไม่ดูแลฉันอีกต่อไปใช่มั้ย”

“ไม่ใช่….มันไม่ใช่แบบนั้น”

“……………….”

“ฉันขอโทษ”

“ขอโทษเรื่องอะไร”

“ขอโทษที่แต่งงานกับพี่ไม่ได้”

“………………..”

“ขอโทษที่ทำให้คนรู้ว่าเรารักกันไม่ได้”

“………………..”

“ขอโทษที่ทำให้ความรักของพี่ไม่สมบูรณ์แบบเหมือนคนอื่นๆ”
.
.
.
“จียอนอ่า…ความรักของฉันมันจะไม่สมบูรณ์แบบ”

“………………..”

“ถ้ามันไม่มีเธออยู่ในนั้น”

“พ…พี่”

“จะมัวสนใจคนอื่นทำไม”

“………………….”

“ในเมื่อฉันเองก็สนแค่เธอเพียงคนเดียว”

.
.
รอยยิ้มที่เรามีให้กันอยู่เวลานี้ทำให้ความกังวลและอารมณ์ทั้งหมดหยุดลงก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นความอบอุ่น
เมื่อเธอยื่นมือเข้ามาจับหลังมือของฉันเอาไว้ บีบกระชับรู้สึกถึงความอุ่นใจบางอย่างที่เกิดจากแววตาของเธอ
ความเร็วของรถลดลงก่อนที่ฉันจะละสายตาจากถนนหันไปมองหน้าคนข้างๆ ยิ้มออกมาอย่างสุขใจกับสีหน้าของเธอ

.
.
.
“ระวัง!”
.
.
เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!
.
.
.
เสียงล้อรถที่บดขยี้กับเนื้อถนนทำให้เกิดกลิ่นไหม้ตามมาเมื่อมีรถคันหนึ่งวิ่งตัดหน้ามาอย่างรวดเร็ว
บีเอมคันสีขาวเหวี่ยงไปตามแรงบังคับที่เกิดขึ้นอบ่างกะทันหัน ก่อนจะนิ่งสงบอยู่ห่างจากเสาไฟเพียงไม่กี่เซนติเมตร
หัวใจของคนขับกระตุกถี่ด้วยความตกใจนิ่งค้างอยู่ซักพักก่อนที่จะค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมาเมื่อเจ้าตัวบังคับรถไว้ได้ทัน
หันไปหาคนที่นั่งอยู่เบาะข้างๆเพราะในเวลานี้ร่างนั้นกำลังสั่นเทาไปด้วยความหวาดหลัวและตกใจบางอย่าง

“พ…พี่”

เพียงแค่ยื่นมือเข้าไปแตะที่หัวไหล่ร่างของอีกคนก็สะดุ้งด้วยความตกใจพร้อมกับอาการที่กำลังยกมือขึ้นป้องกันตัวเองเอาไว้

“เราปลอดภัย…พี่ไม่ต้องกลัวนะ”

“………………..”

“หันมามองหน้าฉันสิ”

ออกแรงบีบที่หัวไหล่อีกครั้งตกใจอยู่ไม่น้อยกับอาการที่เห็นอยู่ในตอนนี้ ร่างกายที่สั่นเทาส่ายหัวไปมา
ก่อนที่ริมฝีปากจะหลุดบางประโยคที่ชวนให้เกิดความไม่เข้าใจกับความหมายที่เกิดขึ้น

“ข…ขอโทษ…หนูขอโทษค่ะแม่”

คำขอโทษที่พรั่งพรูออกมาอย่างไม่หยุดหยอนสร้างความสงสัยและกังวลใจให้กับฉันไม่น้อย น้ำตาที่เริ่มไหล
ลงมาอาบแก้มทำให้ฉันต้องรีบเปิดประตูแล้วเดินอ้อมไปหาอีกคนอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งการดึงประตูรถอีกฝั่งออกมา
มันก็ยังส่งผลให้เธอสะดุ้งตกใจอีกครั้ง ฉันรีบคุกเข่าลงไปก่อนที่เข้าไปกอดเธอเอาไว้

“ฉันอยู่นี่แล้ว….เราปลอดภัยพี่ไม่ต้องกลัวนะ”

เสียงสะอึกสะอื้อนดังขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับฝ่ามือที่บีบเข้ากับหัวไหล่ของฉันจนฉันเองรู้สึกเจ็บ ก่อนที่ฉันจะค่อยๆยกมือขึ้นลูบผม
ของอีกคนไปมาเพื่อต้องการจะปลอบให้หายกลัวจากเหตุการณ์ก่อนหน้า ความเงียบกำลังปกคุลมบรรยากาศอยู่ในตอนนี้
ก่อนที่จะค่อยๆผละออกมาจากอ้อมกอด รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยเมื่อรู้ว่าสาเหตุทั้งหมดมันเกิดขึ้นจากตัวเอง

“ก…กลับบ้าน”

ฉันรีบพาตัวเองกลับไปในรถหลังจากที่เธอเอ่ยคำพูดสั้นๆนั่นออกมา ความเร็วของรถเพิ่มขึ้นพร้อมกับอาการ
ที่น่าเป็นห่วงที่กำลังเกิดขึ้อยู่ในตอนนี้ เม็ดเหงื่อที่มีมากกว่าในเวลาที่เธอเคยทำงานอยู่ในไร่กำลังทำให้ฉันกังวล
ฝ่ามือเย็นเฉียบที่กำลังจับอยู่นี้ทำให้ฉันอยู่ไม่สุข ใบหน้าที่เคยแฝงไปด้วยเลือดฝาดที่บ่งบอกถึงการมีสุขภาพที่ดี
กำลังหดหายไปจากใบหน้าก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นใบหน้าซีดขาวจนน่าตกใจ

.
.
เอี๊ยดดดด!
.
.

บีเอมสีขาวจอดนิ่งสงบยังหน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลปาร์คก่อนที่ใครบางคนที่กำลังเดินออกมาต้องเงยหน้าขึ้นมามอง
ประตูถูกเปิดออกก่อนที่ฉันจะอุ้มเธอลงมา แล้วมันก็กำลังความสร้างลำคาญเมื่อฉันเห็นอีกคนที่กำลังเดินถือแฟ้มเอกสารออกมา

“ฮโยมินเป็นอะไร!”

“เธอตกใจ…แล้วก็กำลังอาการไม่ดี”

“คุณหนูเป็นแบบนี้อีกแล้วเหรอคะ!”

“ปล่อย…ฉันจะจัดการเอง!”

“แต่ว่า!”

“ฉันรู้ว่าต้องทำแบบไหน!”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
TBC.