Adore you #24

“ตั้งแต่วันแรกเมื่อ 4 ปีก่อน”

“นักเรียนแลกเปลี่ยนเกาหลีที่ดูเย็นชาแถมยังพูดน้อยคนนั้น”

“เขายังคงพิเศษสำหรับฉันจนถึงตอนนี้”

_________________________________________________




“วันนี้ต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ”

ฉันลุกขึ้นยืนพร้อมกับสองมือที่ล้วงอยู่ในโค้ทตัวที่ใส่อยู่ก่อนจะเดินออกไป
พร้อมกับพี่คิวรีที่เพิ่งมาถึงคอนโดของตัวเองโดยที่ฉันเข้ามารอได้ไม่ถึงสิบนาทีเลยด้วยซ้ำ
หลังจากที่ลิฟต์ปิดลงฉันก็พยายามจะไม่หันไปสนใจสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามของคนข้างๆ
นอกเสียจากการดันแว่นตาที่มันล่นลงมาให้กลับขึ้นไปเกาะกับสันจมูกอย่างเดิม

ติ๊ง

ประตูลิฟต์เปิดออกตามด้วยระยะทางอีกไม่ไกลก่อนที่จะเปิดประตูห้องจะถูกเปิดเป็นอันดับต่อมา
ฉันพาตัวเองเดินเข้าไปภายในหยุดยืนอยู่หลังประตูที่ปิดลงค่อยๆถอดเสื้อโค้ทตัวนอกออกเพื่อที่
จะแขวนมันเอาไว้ในขณะแว่นตาก็กำลังถูกถอดออกโดยอีกคนข้างๆพร้อมกับตัวเองที่ก้มหน้ามอง
พื้นอยู่อย่างนั้น

“ท…ทำไมหน้าถึงเป็นรอยแบบนี้”

พี่คิวรีสัมผัสอยู่รอยข่วนบริเวณหางตาที่ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นรอยเล็บที่เกิดจากฝีมือใครบางคน
ฝ่ามือนั่นละออกไปก่อนจะเข้ามากุมมือของฉันเพื่อที่จะ
เดินเข้าไปนั่งที่โซฟาแต่ปลายเล็บของพี่คิวรีที่สัมผัสอยู่กับบาดแผลที่อุ้งมือนั่นทำให้ฉันรีบชักมือหนีออกมาอย่างรวดเร็ว

“จียอนอ่า”

สองหูได้ยินเสียงเรียกชื่อของตัวเองแต่ความสนใจทั้งหมดก็ไม่ได้วางอยู่ตรงนี้ก่อนจะเดิน
เข้าไปในห้องน้ำและจัดการกับคราบเลือดที่ติดอยู่ให้หมดไปแล้วพาตัวเองเดินออกไป
ยืนอยู่ริมระเบียงด้านนอกทอดสายตาไปยังแสงไฟที่สว่างไสวยามค่ำคืนที่เป็นบริเวณ
กว้างขนานอยู่กับท้องฟ้าสีครามข้างบน กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อฝ่ามืออุ่นๆของพี่คิวรี
วางอยู่กับหัวไหล่พร้อมกับแรงบีบเบาๆที่ต้องการให้รู้ถึงการมีอยู่ของอีกคนข้างๆ

“ต้องให้ฉันบ้าตายก่อนใช่มั้ย…ถึงจะยอมบอกว่าไปทำอะไรมา”

“……………..”

พี่คิวรีดึงตัวฉันให้หันมามองตรงๆพร้อมสองมือที่ประครองอยู่กับใบหน้า
สายตาที่เคยมองอยู่กับแสงไฟสว่างจ้าพวกนนั้นละมาสนใจแววตาของคนตรงหน้า
หลับตาลงเมื่อปลายนิ้วนั่นสัมผัสอยู่กับรอยนูนแดงที่แก้มข้างขวา

“รู้บ้างมั้ยว่าทุกครั้งที่เธอเจ็บ…ฉันเองก็ไม่ได้เจ็บน้อยไปว่าเธอเลยซักนิด”

“…………”

“มันมีเหตุผลเพียงข้อเดียวที่ทำให้ฉันอยู่ข้างๆเธอมาตลอด”

“แล้วมันก็มีเหตุผลอีกมากมายที่ทำให้เธอไม่เลือกฉัน”

“พี่..คิวรี”

“นักเรียนเกาหลีเมื่อ 4 ปีก่อนที่ดูเงียบขรึมแถมมีใบหน้าแค่อารมณ์เดียวนั่นพิเศษสำหรับฉันมากนะ”

“………….”

“เป็นอะไรบอกฉันสิ…แววตาเศร้าๆของเธอมันทำให้ฉันเจ็บปวดไปด้วยนะรู้มั้ย”

“เปล่านิ…”

“แววตากับคำพูดของเธอไม่ได้ตรงกันเลยซักนิด”

“…………..”

“ฉันไม่อยากพูดอะไรตอนนี้”

พี่คิวรีละฝ่ามืออกไปจากหน้าของฉันก่อนที่จะดึงฉันเข้าไปกอดเอาไว้ แล้วนี่ก็คงจะเป็นครั้งแรก
ที่ฉันเคยเห็นอีกคนกล้าทำอะไรแบบนนี้ ฝ่ามือที่ลูบอยู่กับผมของฉันทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่
น้องสาวคนนึงที่มักจะได้รับการปกป้องจากพี่สาวคนนี้อยู่เสมอ

“ตกลงจะค้างที่นี่จริงๆใช่มั้ย”

“ไม่อนุญาติเหรอ”

“จะขัดใจซักครั้ง…ฉันเองก็ยังไม่เคย”


……………………….

คฤหานส์ตระกูลปาร์ค


ปึก

โทรศัพท์เครื่องหรูกระเด็นลงไปที่เตียงนอนพร้อมคนที่กำลังหงุดหงิดอยู่กับการต่อสาย
หาใครบางคนมาเกือบชั่วโมง ความกระวนกระวายเริ่มเข้ามาแทนที่ความหงุดหงิดรวมถึง
ความไม่สบายใจที่ส่งผลให้เจ้าตัวไม่เป็นอันจะมีอารมณ์ทำอะไรได้ นอกเสียจากจะสามารถ
ติดต่อเจ้าของหมายเลขที่ถูกกดโทรออกในชั่วโมงก่อนหน้านั่นให้ได้ก่อน

ฉันยังจำสีหน้าของเธอได้แม่น… สีหน้าและแววตาที่ดูเจ็บปวดและยังแฝงไปด้วย
ความผิดหวังบางอย่างที่ฉันเป็นคนยอมให้มันเกิดขึ้น ในขณะที่ฉันเองรีบผละพี่อึนจอง
ออกไปก่อนจะรีบวิ่งออกไปตามคนที่กำลังเดินออกไปอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ยอมหันกลับมา
ตามคำสั่งของฉันเลยซักนิดแต่ก็ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจไว้
เมื่อพอร์ชคันสีขาวนั่นแล่นออกไปจากรั้วบ้านของตัวเองด้วยความเร็ว

“ไม่ได้กลับไปที่ไร่…ที่บ้านก็ไม่มี”

พึมพร่ำอยู่กับตัวเองซักพักจนแล้วจนรอดก็ตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ที่ถูกขว้างให้นอนนิ่ง
อยู่บนเตียงเข้ามากำเอาไว้ก่อนจะตัดสินใจโทรออกไปยังหมายเลขของคนที่ไม่เคยคิดว่า
ตัวเองจะเป็นฝ่ายโทรไปหา

“ใช่เจสสิก้าหรือเปล่า”

.
.
.

บรืนนนน

จากนั้นbmwคันสีขาวก็แล่นออกไปตามเส้นทางตามที่คนในสายกำลังบอก ฉันไม่สนใจเสียง
เรียกตะโกนของสาวใช้ที่วิ่งตามฉันออกมา รวมถึงรถของคุณปู่ที่กำลังแล่นเข้ามาสวนทาง
กับฉันที่รั้วบ้านความเร็วของรถเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้วในเวลาไม่ถึง15 นาทีฉันเข้ามาถึงคอนโด
ที่ดูหรูหราแห่งหนึ่ง

ปึก!

ประตูรถถูกปิดลงก่อนที่ฉันจะเดินลงมาจากรถแล้วสายตาก็กำลังมองหาคนเพิ่งจะวางสายไป
ไม่นานนักผู้หญิงคนที่กำลังมองหาก็เดินออกมาพอดี

“บอกแล้วไงว่าจียอนไม่ได้มาที่นี่”

“ก็แค่อยากมาดูให้แน่ใจ…ถ้าไม่ซ่อนใครเอาไว้ก็ไม่เห็นจะต้องกลัว”

“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ…จียอนต้องเป็นฝ่ายตามง้อคุณไม่ใช่เหรอ”

“ไม่ใช่เรื่องของเธอ”

“มีสิทธฺิ์พูดแบบนี้กับเจ้าของห้องที่ตัวเองจะขอขึ้นไปดูได้ด้วยเหรอ”

“มีสิ…เพราะคอนโดนี่เป็นเครือของคุณปู่ฉัน”

“นี่คุณ”

“จะพาฉันขึ้นไปได้หรือยัง”

แกร๊ก

ประตูห้องถูกเปิดออกไปก่อนที่ฉันจะพาตัวเองเดินเข้าไป ภายในที่ตกแต่งไว้อย่างหรูหรา
ยังคงปราศจากร่างของใครบางคนที่ฉันต้องการพบ ห้องแล้วห้องเล่าจนเกือบทุกมุมของ
คอนโดหลังนี้ถูกฉันเดินเข้าไปหาจนครบ ก่อนจะที่ฉันจะเดินออกมาหยุดอยู่ที่หน้าทีวีจอยักษ์
ในขณะที่เจ้าของห้องยังคงยืนพิงโต๊ะมองฉันอยู่อย่างนั้น

“บอกแล้วว่าเขาไม่ได้มาที่นี่”

“………….”

“จียอนอาจจะกลับไร่ไปแล้วก็ได้…แต่บอกคุณว่าไม่ได้กลับไป”

“ฉันมั่นใจว่าเขาไม่ได้กลับไปที่ไร่”

“เท่าที่ฉันรู้จียอนไม่ได้สนิทกับใคร…”

“เดี๋ยวนะ…ฉันพอจะนึกออกบ้างแล้วล่ะ”

“คุณหมายถึง..”

“ฉันต้องรีบไป..”

แต่อีกคนกำลังละความสนใจเดินออกไปที่ระเบียงด้านนอกก่อนที่ฉันจะพูดจบในขณะที่ฉันเอง
ก็เริ่มมีอาการบางอย่างเมื่อเสียงหวีดร้องจากรถพยาบาลที่ดังขึ้นจากด้านล่างดังขึ้น ภาพจำบางอย่าง
กำลังกลับมาเล่นวนในหัวอีกครั้งจนฉันเองต้องนั่งลงที่โซฟาพร้อมกับสองมือที่ยกขึ้นมาปิดหูเอาไว้
มันจะไม่เป็นแบบนี้ถ้าฉันไม่เกิดอาการแบบนี้ในเมื่อวันก่อน ยกไหล่ขึ้นเช็ดเม็ดเหงื่อที่เริ่มผุดขึ้น
มาใบหน้า สะดุ้งอย่างลืมตัวเมื่ออีกคนกำลังเดินกลับเข้ามาพร้อมกับฝ่ามือที่วางอยู่บนไหล่

“คุณ…เป็นอะไร”

“ป.เปล่า…ฉันต้องไปแล้ว”

“แต่ว่าคุณดูไม่โอเค”

“ไม่…ฉันต้องไป..จะทำอะไรนั่นมันโทรศัพท์ของฉัน!”

“คุณดูไม่โอเค…ฉันจะโทรบอกคนที่บ้านคุณมารับกลับไป”

“นี่คุณรู้ว่าฉันกำลังเป็นอะไร?…..จียอนคงบอกคุณสินะ”

“ใช่…จียอนบอกฉัน”

“น่าตลกชะมัดนั่นมันเรื่องของฉัน…คงไว้ใจกันมากสินะ”

“ใช่..ไว้ใจมาก”

“……………”

“แล้วจียอนก็รักคุณมาก…เขารักคุณมากกว่าฉันเสียอีก”



…………………….

“พอได้แล้ว”

แก้วไวน์ในมือถูกแย่งออกไปจากมือก่อนที่ฉันจะหันไปมองอีกคนข้างๆที่กำลังนั่งมอง
ด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจนัก มากไปเหรอ..นี่มันยังไม่เพียงพอสำหรับการทำให้ฉันสลัดภาพของคนสองนั้น
ออกไปจากหัวได้เลยซักนิด ไวน์สีกุหลาบที่ตัวเองเป็นให้ไว้กับอีกคนมันคงไม่เพียงพอสำหรับฉัน
ในคืนนี้ได้เลยจริงๆ แต่ว่าในเวลาต่อมาคำว่าไม่เพียงพอเหมือนถูกแทนที่ด้วยคำว่ามากเกินไป
เมื่อพี่คิวรีกำลังพาฉันเดินมาถึงเตียงในห้องนอนอย่างลำบาก

ปึก

ทิ้งตัวเองนอนลงแล้วก็ไม่ได้สนใจเสื้อคลุมอาบน้ำที่ใส่อยู่เลยซักนิดว่ามันจะหลุดหลุ่ย
หรือไม่ ก่อนที่จะรู้สึกได้ถึงผ้าผืนใหญที่ยกขึ้นมาห่มทับร่างกายเอาไว้ต่อด้วยสองหูที่ได้
ยินเสียงน้ำไหลจากห้องน้ำด้านใน

.
.
.

แกร๊ก
.
.

ประตูห้องน้ำเปิดออกมาหลังจากที่ฉันพาตัวเองเข้าไปอยู่ในนั้นได้ซักพัก ในขณะที่เสียงโทรศัพท์
ที่วางเอาไว้บนเตียงก็กำลังกรีดร้อง ฉันเดินเข้าไปใกล้หยิบมันขึ้นมาแล้วก็นึกแปลกใจกับเบอร์
ที่โชว์อยู่บนหน้าจอ ก่อนจะตัดสินใจกดรับสาย

“คิวรีใช่มั้ย”

“น…นั่นใคร”

“จำฉันไม่ได้จริงๆเหรอ”

“เจสสิ…”

“ถ้าฉันเดาไม่ผิดจียอนคงจะอยู่กับเธอสินะ”

“…………”

“เธอคงจะรู้ดีกว่าพวกเขากำลังทะเลาะกัน…แล้วในตอนนี้ฮโยมินกำลังไม่สบาย”

“…………..”

“สิ่งที่เธอควรจะทำในตอนนี้ก็คือบอกให้จียอนรีบมาหาเธอที่บ้าน”

“เขา..ไปไม่ได้หรอก”

“มาไม่ได้หรือว่าเธอไม่ให้เขามากันแน่”

โทรศัพท์ในมือถูกวางเอาไว้ใต้ฐานโคมไฟก่อนที่ฉันจะเดินเข้าไปนั่งข้างๆคนที่นอนอยู่
ฉันมองไปยังใบหน้าที่แดงขึ้นสีด้วยฤทธิ์ของไวน์ที่เจ้าตัวเองนั่นดื่มเข้าไปในปริมาณ
ที่มากเกินไปถึงแม้เปลือกตาจะปิดลงฉันเองก็ยังสังเกตุได้ว่าอีกคนยังกังวลใจอยู่มาก
ฉันยังจำได้น้ำเสียงในตอนที่ฉันนั่งฟังเรื่องราวที่ตัวเองพยายามจะทำให้อีกคนนั่น
ยอมพูดออกมาในชั่วโมงก่อนหน้านั่นได้

แววตาสีหน้าและท่าทางของอีกคนมันซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้ได้ไม่มิด ที่สำคัญมันยังเป็นแววตาที่ฉันเอง
จำได้ว่ามันคือแววตาครั้งที่สองที่อีกคนสื่อออกมาถึงความรู้สึกบางอย่าง ซึ่งมันก็คือ
ความรู้สึกเดียวกันในคราวที่ผู้หญิงชื่อเจสสิก้าทำให้เขาเองต้องเจ็บปวดอย่างในสามสี่
ปีก่อนนั่นไม่มีผิด

ฉันตัดสินใจยกมือขึ้นปัดผมที่ปกอยู่ที่แก้มข้างนึงให้พ้นออกไปก่อนที่จะเกลี่ยปลายนิ้ว
อยู่ที่ริมฝีปากสีช่ำของคนที่นอนหลับตาอยู่ตรงหน้า โน้มตัวเองเข้าไปหาก่อนที่จะค่อยๆ
ประทับริมฝีปากลงไปในพื้นที่เดียวกันของคนที่หลับอยู่ บอกกับตัวเองไว้ว่าจะทำตาม
สิ่งที่คนในสายนั่นบอกเอาไว้ถ้าทว่าฉันไม่ได้รู้สึกถึงการตอบรับกับรสสัมผัสจากอีกคน

“อื้อ”

คนที่นอนอยู่ยังคงหลับตาอยู่อย่างเดิมแต่ฝ่ามือนั้นก็เริ่มเคลื่อนขึ้นมาสัมผัสอยู่กับ
ส่วนเอวของฉันก่อนที่จะดึงให้ฉันเข้าใกล้ หัวใจเริ่มเต้นรัวอย่างหนักจนกลัวว่า
อีกคนนั่นจะตื่นขึ้นมา นั่นก็เป็นเพราะริมฝีปากนั้นเริ่มตอบรับสัมผัสอย่างไม่ยอมผละออก
เปลือกตาของฉันปิดลงแล้วก็คงจะปล่อยให้ทุกอย่างมันดำเนินต่อไปถ้าอีกคน
ไม่ละออกไปแล้วดึงฉันเข้าไปกอดเอาไว้

“ทำไมถึงยอมให้คนอื่นจูบแบบนั้น…ฮโยมินอ่า

“…………..”

“พี่คงลืมไปแล้วว่าริมฝีปากของพี่”

“…………..”

“มีฉันแค่คนนี้คนเดียวเท่านั้นที่เป็นเจ้าของ”



…………………………..


คฤหาสน์ตระกูลปาร์ค


บนโต๊ะอาหารซึ่งเป็นช่วงเช้าของวันนี้คงจะดำเนินไปปกติถ้าหากว่าเจ้าของคฤหานส์หลังงาม
ที่มีอายุคนนี้กำลังเห็นหลานสาวของตัวเองที่กำลังเดินเข้ามาหาก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้างๆ

คุณปู่ที่นั่งอยู่ก่อนแล้วยกนาฬิกาเรือนงามขึ้นมาดูก่อนที่ฉันจะเริ่มหยิบขนมปังที่อยู่ใกล้มือที่สุดพร้อมถึงสาวใช้ที่ยืนอยู่้ขางๆกำลังส่งเสียงบางอย่างให้ฉันได้ยินแต่ตัวเองก็ไม่ได้สนใจ
อะไรนอกจากอาหารตรงหน้า

“ทำไมถึงตื่นเช้า”

“ตอนอยู่ที่ไร่ตื่นเช้ากว่านี้อีกค่ะ”

“แล้วนี่เราโอเคแล้วนะ”

“หนูไม่ได้เป็นอะไรมาก…เจสสิก้าอะไรนั่นต่างหากที่ตื่นเต้นไปเอง”

“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว…แล้วนี่วันนี้จะออกไปไหนหรือเปล่า”

“ค่ะ”

“แล้วจะไปไหนล่ะ…ช็อปปิ้ง ทำผม หรือว่าร้านทำเล็บ”

“ไม่ค่ะ…หนูเบื่ออะไรแบบนั้นแล้ว”

“ซอนยอง..”

“หนูเปลี่ยนไปเหรอคะ…”

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้”

“แล้วในเปลี่ยนไปในทางที่ดีหรือเปล่าคะ”

“ดี…ดีมากเลยล่ะ”

ฉันชะงักอยู่กับอะไรบางอย่างก่อนที่คุณปู่เองก็กำลังหันไปทำหน้าดุใส่สาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ
ก่อนที่จะป้าแม่บ้านมีอายุจะรีบเดินเข้ามาใกล้โต๊ะอาหาร ถ้าเป็นแต่ก่อนฉันคงจะโวยวาย
ใส่สาวใช้ไปแล้วเพราะกลิ่นของเมนูบางอย่างที่ฉันนึกเกลียดมาตั้งแต่เด็ก มันถูกวางลง
ให้ตรงหน้าในเวลาต่อมา

“ขอโทษนะคะคุณหนู…เด็กคนนี้เพิ่งเข้ามาใหม่น่ะค่ะ”

“ป้าจะรีบเอาออกไปเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ”

“คราวหน้าก็จำเอาไว้ด้วยว่า…ฉันไม่ชอบหัวปลารวมถึงต้นหอมนี่ด้วย”

“ขอโทษค่ะคุณหนู”

“ไม่ต้องขอโทษอะไรหรอกค่ะมันไม่ใช่ความผิดของคุณป้า..”

“ค..คะ…คุณหนู”

“อีกอย่างเธอเองก็คงจะไม่รู้…อย่างน้อยครั้งแรกเราก็ควรจะบอกให้เขารู้ก่อน”

ความเงียบเป็นสิ่งเดียวที่ฉันสัมผัสได้บนโต๊ะอาหารขณะที่ฉันเองต้องชะงักมือจากจากการปาดเนย
ลงบนแผ่นขนมปังเอาไว้ ฉันเห็นสายตาของทุกคนที่จับจ้องฉันเป็นสายตาเดียว
มันคงจะแปลกมากเพราะฉันรู้ว่าตัวเองเป็นคนที่ไม่เคยสนใจความรู้สึกของคนอื่น
มากไปกว่าตัวเองจนกระทั่งฉันเคยเห็นคนงานคนนึงซึ่งเขาเองเกือบที่จะทำผิดขั้นตอน
ของการตัดขนแกะที่ไร่ของลอเรนซ์นั่นเป็นเพราะว่าหัวหน้าคนงานเองละเลยที่จะบอกถึง
ขั้นตอนที่สำคัญกับเขาก่อน

“หลานเปลี่ยนไปมากนะฮโยมิน”

“นั่นก็เป็นเพราะเจ้าของไร่คนนั้น”

“………….”

“ที่จริงเขาสนใจคนงานของเขามากกว่านี้อีกนะคะ”

“………….”

“การที่จะเป็นหัวหน้าที่ดีได้มันก็ต้องเริ่มจากจุดนี้ไม่ใช่เหรอคะ”

“ถ้าอย่างนั้นหลานก็ควรจะเริ่มทำหน้าที่ผู้จัดการโรงแรมที่ดีแล้วล่ะ”

“ใช่ค่ะ….แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้”

“แน่ใจเหรอว่าจะกลับไปที่ไร่นั่นจริงๆ”

ครืด….

เสียงโทรศัพท์ของคุณปู่ที่วางอยู่ข้างๆหนังสือพิมพ์บนโต๊ะอาหารสั่นเตือนทำให้ฉัน
ละความสนใจมาอยู่กับเมนูตรงหน้า ในขณะที่คุณปู่กำลังหยิบโทรศัพท์เพื่อเปิดอ่าน
อะไรบางอย่างก่อนจะวางมันไว้ที่เดิม

“ฮโยมินอ่า..พอดีหุ้นส่วนรายใหญ่เขาจะเข้าไปดูโครงการคอนโดหลังใหม่”

“คะ”

“แล้วปู่มีประชุมด่วนเข้ามาพอดี…เราไปกับเขาแทนปู่หน่อยได้มั้ย”

“คุณปู่กำลังผิดสัญญากับหนู”

“แต่ถึงยังไงวันนี้เราก็ยังไม่กลับไปที่ไร่นั่นไม่ใช่เหรอ”

“แต่ว่าวันนี้หนูต้องไป…”

“ไม่ถึงครึ่งวันหรอก…ไปแทนปู่หน่อยนะ”



—————–


“ฉันกำลังจะไปถึงภายใน 15 นาที”

โทรศัพท์ในมือถูกเก็บไปนอนอยู่กระเป๋าเสื้อตัวนอกตามเดิมก่อนที่ฉันจะบังคับรถ
ให้แล่นออกไปตามเส้นทางข้างหน้า แสงแดดที่ไม่ได้ร้อนจนเกินไปกำลังแผ่รังสีลามเลีย
ตลอดสองฝั่งถนนรวมถึงท้องฟ้าที่ปอดโปร่งที่ฉายทับเป็นฉากหลังจึงทำให้วันนี้ดูเป็นวันที่สดใส
และคงเป็นวันเริ่มต้นที่ดีของใครๆหลายคน แต่ก็คงจะยกเว้นตัวฉันเองเอาไว้เพียงคนเดียวเท่านั้น

ฉันหยุดรถเมื่อเห็นสัญญาณไฟจราจรกลางสี่แยกข้างหน้า พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ที่ดังขึ้นออกมา
จากระเป๋าอีกครั้ง จ้องมองเบอร์โทรที่โชว์อยู่บนหน้าจอสี่เหลี่ยม ปลายนิ้วคงจะรีบกดรับสายของคน
ที่โทรเข้ามาโดยไม่ต้องคิดถ้าหากว่าไม่มีภาพบางภาพซ้อนทับเข้ามาในหัวเสียก่อน

“เห้อ…”

เสียงถอนลมหายใจดังขึ้นเป็นรอบที่เท่าไหร่ของเช้าวันนี้ฉันเองก็ลืมที่จะนับ เมื่อนึกย้อนไปถึง
เรื่องบางเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน หัวเราะให้กับความใจอ่อนของตัวเองที่กำลังประท้วงอยู่ภายในใจลึกๆ
ปฎิเสธการับสายแต่เมื่อคืนกลับไปฝันถึงเขาจนได้…ฝันถึงริมฝีปากบางเฉียบที่เคยคิดว่า
มีเพียงฉันคนเดียวเท่านั้นที่เป็นเจ้าของฉันไม่รู้ว่าอะไรก็แล้วแต่ อาจจะเป็นเพราะความคิดถึง
ที่ทำให้ฉันรู้สึกราวกับว่าความฝันในคืนที่ผ่านมานั้นมันเหมือนจริง

“เมื่อคืนพี่จะจูบฉันได้ยังไง”

บ้าไปแล้วจริงๆ

ปริ้น!

เสียงจากรถด้านหลังดังขึ้นให้ฉันละความสนใออกมาจากความคิดก่อนรถจะเริ่ม
เคลื่อนตัวออกไปอีกครั้งเมื่อเห็นว่าสัญญลาณไฟจราจรเปิดทางให้ตัวเองอยู่นานแล้ว
เลี้ยวขวาอีกไม่กี่ร้อยเมตรฉันก็เข้ามาจอดยังคอนโดแห่งหนึ่งก่อนที่จะเห็นผู้หญิง
ในเดรสสั้นสีขาวที่ไหล่ทั้งสองข้างพร้อมแว่นตาแบรนด์ดังที่เจ้าตัวเป็นหุ้นส่วนสำคัญ
กำลังเดินออกมาพอดี กระจกอีกฝั่งจนค่อยๆเลื่อนลงพร้อมปลายนิ้วที่เกี่ยวแว่นตา
ของตัวเองลงมาเพื่อมองคนที่กำลังเดินเข้ามาหา

ปึก

ประตูอีกข้างปิดลงก่อนที่ฉันจะบังคับรถให้แล่นออกไปตามสถานที่ที่เป็นเป้าหมายของ
วันนี้ ความเงียบที่เกิดขึ้นภายในรถยังคงเป็นสิ่งเดียวที่ใช้แทนคำทักทายแสนธรรมดา
ที่ถูกกลืนลงไปในลำคอเมื่อสายตามองเห็นสีหน้าของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ

“เมื่อคืนไปไหนมา…ไหนบอกว่าจะทำตัวเองให้ดีขึ้น”

“ปล่อยให้คนอื่นเขาตามหา…วุ่นวายกันไปหมด”

“จะมีใครวุ่นวายเพราะฉันกัน”

“เธอก็เป็นแบบนี้ไม่เคยเปลี่ยน”

“…………..”

“มีอะไรก็ไม่ยอมพูดกันตรงๆ”

“………….”

“ชอบใช้ความเฉยชาเป็นเกาะป้องกันตัวเอง”

“………….”

“ทั้งที่ข้างในก็เจ็บเจียนตาย”

“จะเดือดร้อนอะไรนักหนา…ฉันไม่เห็นว่าพี่ต้องเป็นแบบนี้เพื่อ…”

“นั่นสิฉันจะเดือดร้อนไปเพื่ออะไร…ฮโยมินจะเป็นยังไงไม่ใช่ธุระของฉันเลยซักนิด”

“พี่ฮโยมิน”

“……………”

“บอกฉัน…เดี๋ยวนี้”

“ไม่ใช่ธุระของฉันซักหน่อย”

“ได้โปรด…”

.
.
ความกังกวลที่กำลังตีรวนขึ้นมาทำให้ฉันนึกโกรธการกระทำของตัวเองที่เพกเฉยต่อ
เบอร์โทรที่โทรเข้ามานับไม่ถ้วน รวมถึงความรู้สึกบางอย่างที่ตัวเองกำลังตั้งคำถาม
อยู่ในตอนนี้ คนข้างๆบอกกับฉันว่าได้โทรไปหาพี่คิวรีเพื่อบอกให้ฉันรีบออกไปยัง
คฤหานส์ตระกูลปาร์คเพราะใครบางคนกลับมามีอาการนั่นอีกครั้ง จนกระทั่งถึงตอนเช้า
พี่คิวรีก็ยังคงไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องราวที่คนข้างๆเอ่ยออกมาเลยซักนิด นึกย้อนไปถึงความฝัน
ที่เหมือนเรื่องจริงที่มันเกิดขึ้นในคืนที่ผ่านมาอยู่อย่างนั้น แล้วฉันก็กำลังรู้สึกผิดเมื่อรู้ว่า
ริมฝีปากและรสสัมผัสที่เกิดขึ้นนั่นมันไม่ใช่ของเธอ

ฉันไม่ได้จูบพี่คิวรี…ไม่จริงซักนิด

“รีบไปหาเธอสิ…ฉันคิดว่าฉันน่าจะอยู่กับคิวรีได้”

“…………….”

“จียอนอ่า”

“ฉันคิดว่ามันคงไม่ดีแน่”

“งั้นฉันก็จะพยายามไม่เรื่องมาก”

.
.
ปึก

ประตูรถถูกปิดลงต่อด้วยการเดินนำอีกคนเข้าไปถึงร้านของพี่คิวรี ภายในร้านดูแปลกตาไปมาก
เมื่อนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่ฉันเองนั้นแทบไม่ได้มาหาพี่คิวรีที่นี่ ถ้าจะไปก็แค่ช็อปที่ถูกจัดอยู่
ภายในห้างสรรพสินค้าที่เดียวกันกับร้านน้ำหอมของตัวเองเท่านั้น แล้วห้องเสื้อที่เปิดมาได้
เกือบสองปีมันก็ดูหรูหรามากกว่าครั้งสุดท้ายที่เคยเข้ามาจริงๆ พนักงานของร้านรีบเดินเข้ามาหา
แล้วฉันเองก็สังเกตุได้ว่าเธอชะงักนิดหน่อเมื่อมองเห็นคนที่เดินเข้ากับฉันข้างๆ

“เชิญทางนี้เลยค่ะ”

ฉันเดินเข้าไปถึงพื้นที่ด้านในที่ถูกแยกเอาไว้เหมือนพื้นที่ส่วนตัวก่อนที่บานประตูจะถูกเปิดออก
พร้อมกับเห็นพี่คิวรีกำลังก้มสนใจอยู่กันคอมพิวเตอร์ตรงหน้า

“ออกไปได้แล้ว”

พี่คิวรีเงยหน้าขึ้นมาบอกให้พนักงานของร้านที่กำลังให้ความสนใจอยู่พี่สิก้าให้เดินออกไป
ฉันจึงเดินเข้าไปนั่งลงเก้าอี้ยังฝั่งตรงข้ามที่พี่คิวรีนั่งอยู่พร้อมพี่สิก้า

“นี่เป็นชุดที่ฉันออกแบบไว้”

พี่คิวรีเลื่อนแบบที่ตัวเองออกแบบไว้เรียบร้อยแล้วมาให้ให้ ก่อนที่พีสิก้าจะถอดแว่นอันใหญ่
นั่นออก แล้วก้มมองชุดสามชุดอยู่อย่างนั้น

“เจสสิก้า…หน้าของเธอ”

“ตกใจมากหรอ”

“………….”

“ฉันนึกว่าเธอจะดีใจเสียอีกที่เห็นฉันเป็นแบบนี้”

รอยยิ้มบางๆที่แฝงไปด้วยอะไรบางอย่างอย่างไว้ท่าระบายอยู่บนใบหน้าที่ยังคงมีรอยช้ำ
ที่ยังไม่หายดีก่อนที่เจ้าตัวจะเลื่อนชุดที่ตัวเองต้องการไปให้พี่คิวรี แล้วการหันมาถามถึง
ความคิดเห็นของฉันเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ก็ดูเหมือาจะไม่มีความจำเป็นเลยซักนิด เมื่อพี่สิก้า
ก็รู้ดีว่าอะไรที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด ไม่นานนักประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามาอีกครั้งเมื่อพนักงาน
สองคนที่เดินเข้าพร้อมกับชุดที่ถูกเลือกไปก่อนหน้า

“ไม่เข้าใจว่าจะให้ฉันเลือกจากแบบนี่ก่อนทำไม…ในเมื่อชุดจริงก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว”

“ก็แค่อยากพิสูจน์อะไรบางอย่าง”

“ฉันต้องเลือกชุดที่ดีที่สุดอยู่แล้ว…”

“…………..”

“เรามันดีไซเนอร์รุ่นเดียวกันคิวรี”

“ถ้าเธอ..”

ฉันถอนหายใจออกมาก่อนจะพยายามตัดบทสนทนาที่เกิดจากคนสองคน รวมถึงสายตา
ที่แฝงไปด้วยอะไรบางอย่างที่ฉันเองก็ยังคงเห็นมันอยู่เหมือนในช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมาไม่มีผิด
สองขาลุกขึ้นยืนหลังจากที่พนักงานทั้งสองนั้นเดินออกไป ก่อนจะหันไปสนใจชุดที่สวมอยู่
ในหุ่นที่ตั้งอยู่ด้านหลัง นึกชื่นชมพี่คิวรีอยู่ไม่น้อยกับชุดเกาะอกที่ด้านหน้าเปิดสั้นเพื่อต้องการ
ที่จะโชว์เรียวขาของคนสวมใส่ไหนจะคริสตัลแวววาวที่วางอยู่บนตัวของชุดซึ่งมันคือสิ่งที่บ่งบอก
ถึงตัวตนของดีไซเนอร์อย่างพี่คิวรีที่ชอบอะไรแบบนี้อยู่แล้ว แล้วยังรวมถึงด้านหลังของชุด
ที่ลากยาวด้วยขนนกสีขาวอ่อนนุ่มซึ่งสามารถสื่อให้เห็นความเป็นเจ้าหญิงที่ดูสูงศักดิ์และสง่างาม




“บ้าที่สุด!”

ประโยคแรกที่ฉันเองคิดได้ในตอนนี้ การพาหุ้นส่วนรายใหญ่มาดูโครงการคอนโดแห่งใหม่
ที่ถูกสร้างขึ้นภายใต้งบประมาณที่มูลค่าสูงเกือยสองร้อยล้าน แค่กลับกลายเป็นว่าตัวเอง
ต้องมานั่งอยู่ภายในร้านอาหารที่เป็นย่านของนักท่องเที่ยวที่มักจะแวะเข้ากันอย่างไม่ขาดสาย
ชั่วโมงก่อนหน้า ฉันเองแทบจะไม่ได้กระดิกตัวเมื่อรถตู้ของโรงแรมเข้ามาจอดถึงโครงการที่ว่า
ผู้ชายคนนั้นใช้เวลาเพียงแค่ห้านาทีในเดินเข้าไปซักถามอะไรบางอย่างกับผู้รับผิดโครงการ
ก่อนที่พาฉันที่ถึงที่นี่

“ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ”

“ครับ”

ฉันพาตัวเองเดินออกมาจากโต๊ะในขณะที่เขาเองก็กำลังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หันไปมองสถานการณ์
รอบๆก่อนที่จะรีบเดินออกมาจากร้านเงียบๆ พร้อมกับสายตาที่ยังคงสังเกตุผู้ชายคนนั้นอยู่ไม่ห่าง

ฟู่วว

ถอนหายใจออกมาเมื่อเขาเองก็รู้สึกเหมือนว่าจะยังไม่รู้ถึงการหนีหายไปของฉัน ฉันกำลังนึกย้อน
ไปถึงตอนที่ตัวเองเหมือนตกอยู่ในสภาวะที่เป็นมลพิษ มลพิษที่เกิดขึ้นจากผู้ชายที่นั่งอยู่ในร้าน
คนนั้น คำพูดหวานเลี่ยนที่ทำให้ฉันไม่อยากเข้าไปแตะต้องน้ำตาลพวกนั้น รวมถึงการเทคแคร์ที่
ทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ไม่ว่าจะด้วย
เรื่องไหนก็ตาม และนัดเจอกันในครั้งต่อไปที่ฉันนึกกลัวยิ่งกว่าการทำเคมีบำบัด

“น่ารำคาญชะมัด”

ฉันพาตัวเองเดินออกมาจากหน้าร้านอาหารก่อนจะสอดสายตามองหารถแท็กซี่เพื่อที่จะพาตัวเอง
กลับบ้านอย่างไม่ต้องคิดดีหน่อยก็ตรงที่วันนี้อากาศไม่ร้อนจนเกินไปจึงทำให้ทุกอย่างไม่เลวร้าย
ไปมากกว่านี้ ฉันเดินไปเรื่อยๆก่อนจะสังเกตุเห็นแท็กซี่ที่กำลังแล่นเข้ามาฉันคงจะพาตัวเองเข้าไป
นั่งในแท็กซี่คันนั้นเรียบร้อยแล้วถ้าหากว่าสายตาไม่ไปหยุดอยู่กับใครบางคนที่ฉันเองต้องการจะเจอ
มาตลอดในสองสามวันนี้ รอยยิ้มแรกของวันเกิดขึ้นโดยร่างของเธอที่กำลังเดินออกมาจากร้าน
ตรงหน้า แต่แล้วมันก็ต้องเลื่อนหายไปแทบจะทันทีเมื่อฉันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังเดินตามออกมา
และด้วยพื้นที่ต่างระดับของขอบประตูร้านนั่นก็ให้เธอเองต้องรีบเข้าไปรับผู้หญิงคนนั้นเอาไว้
อย่างกระทันหัน
.
.
.

“ระวังหน่อยสิ”

“อ่าๆ….เข้าใจแล้วปล่อยได้หรือยัง”

พี่สิก้ารีบผละตัวเองออกไปจากสองแขนของฉันที่ประครองเอาไว้ โชคดีที่กาแฟในมือ
ของอีกคนที่ถืออยู่ไม่หกใส่เสื้อของฉันไปซะก่อน ฉันหมุนตัวเองกำลังจะเดินอ้อมไปยัง
ประตูอีกฝั่งถ้าหากว่าสายตาไม่มองเห็นผู้หญิงคนนหนึ่งที่กำลังเดินตรงเข้ามาด้วยอารมณ์
ทีไม่ค่อยดีนัก รอยยิ้มแรกมันควรจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นถ้าหากว่าสีหน้าและแววตาที่มองเห็น
อยู่ในระยะที่ใกล้กว่าเดิมนนั้นถูกส่งไปหาพี่สิก้าที่ยืนอยู่ข้างๆ

“คุณฮโยมิน…คุณมาพอดี..”

เพลี้ย!

“พี่สิก้า!”

แก้วกาแฟในมือของพี่สิก้าหล่นลงกระทบพื้นพร้อมกับใบหน้าที่หันไปตามแรงสะบัด
ที่เกิดจากอีกคนที่ยืนมองอยู่ด้วยอารมณ์ร้อนๆ จนฉันต้องรีบเข้าหาคนที่กำลังยืนนิ่ง
ด้วยความคาดไม่ถึงอยู่อย่างนั้น พี่สิก้าค่อยๆหันหน้ากับมามองเธอสีหน้าที่อ่านไม่ออก

“เห็นฉันโง่มากเลยสินะ”

“………….”

“บอกกับฉันว่าไม่รู้ไม่เห็น…แต่พออีกวันกลับอยู่ด้วยกัน”

“คุณกำลังเข้าใจผิด..”

“ทำไมไม่เอาตัวเองบังไว้อีกล่ะ…เป็นห่วงกันมากไม่ใช่เหรอ”

“พี่กำลังเข้าใจฉันผิด….เราก็แค่..”

“คุณฮโยมินครับ!+”

“…………”

“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะครับ…เรากลับเข้าไปในร้านกันเถอะ”

ผู้ชายคนนั้นที่ฉันเองจำได้ว่าเคยเจอที่โรงแรมเมื่อหลายวันก่อนกำลังวิ่งเข้ามายังจุดที่ฉันยืนอยู่
ฉันพยายามข่มอารมณ์บางบางอย่างที่กำลังเริ่มปะทุขึ้นภายในใจเอาไว้ รวมถึงความคิดที่ว่าจะ
ก้มเก็บแก้วกาแฟที่อยู่บนพื้นขึ้นมาสาดใส่เขาอีกครั้ง

“กลับเข้าไปในร้านเถอะครับ…อาหารที่สั่งเอาไว้ได้แล้วนะครับ”

ฉันกำลังนึกขำกับท่าทางตื่นตูมที่ไม่ได้ดูสถานการณ์รอบๆข้างเลยว่ามันกำลังดำเนิน
อยู่สภาวะแบบไหน เขาไม่ได้สังเกตุสีหน้าของผู้หญิงที่เขาเองตามออกมาเลยซักนิดว่าเธอ
อยู่ในห้วงอารมณ์แบบไหนแล้วอีกไม่นานเขาเองก็จะรู้ว่าเวลาที่หลานสาวเจ้าของโรงแรม
โกรธนั่นเป็นอย่างไร แต่ทว่าคงเป็นฉันเองที่กำลังคิดผิด

“ไปกันเถอะค่ะ”

“ครับ”

“อย่าไป”

“……………”

“ฉันบอกว่าอย่าไปกับคนอื่น!”

“ที่ต้องไปก็เพราะว่าข้างๆเธอนั่นมันไม่มีที่ให้ฉันยืนไงล่ะ”

ฝ่ามือที่กำเข้ากันแต่แรกเริ่มคลายออกจากกันก่อนที่ฉันจะยืนนิ่งมองคนสองคนที่เดินห่าง
ออกไปเรื่อยๆ ริมฝีที่ปากหนักอึ้งทำให้ไม่สามารถเอื้อนเอ่ยประโยคร้องขอใดๆต่อภาพ
ตรงหน้านั่นได้เลยซักนิด เจ็บปวดอยู่ไม่น้อยเมื่อสองแขนที่โอบประครองร่างกายของเธอ
อยู่นั้นไม่ใช่ของฉันที่ยังอยู่ตรงนี้

“จะไม่ตามเขาไปเหรอ”

“………….”

“นั่นของๆเธอนะ”

“ฉันยืนอยู่ตรงนี้…แต่เขาก็ยังเลือกที่จะไปกับคนอื่น”

“นั่นอาจเป็นเพราะฉัน”

“พี่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยด้วยซ้ำ”

ฉันหันกลับมองอีกคนที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ ยกมือขึ้นมาประครองใบหน้าที่ยังคงมีรอยนิ้วมือ
ปรากฏชัดเจนให้เห็น จ้องมองไปยังดวงตาของอีกคนที่เริ่มมีหยดน้ำใสๆนั่นคลออยู่
แล้วนี่คงจะเป็นครั้งแรกที่พี่สิก้ายอมให้คนอื่นมาทำอะไรแบบนี้ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ผิด

“โดนตบหน้ามันเจ็บแบบนี้นี่เอง”

“………….”

“แต่ตอนที่ยูลทำกับเธอมันคงเจ็บกว่านี้ใช่มั้ย”

“พี่สิก้า..”

“ยังไม่รีบตามไปอีก…”

“ขอโทษแทนเธอด้วยนะ…พี่เจ็บมากมั้ย”

“เธอก็เป็นซะแบบนี้…ถ้าฉันเป็นฮโยมินคงจะไม่ทำแค่ตบแบบนี้หรอก”

แล้วน้ำใสๆที่คลออยู่กับดวงตาของคนตรงหน้าก็ไหลลงมาฉันจึงค่อยๆปาดมันออกไป
ให้พ้นออกไปจากแก้มทั้งสองข้าง อดสงสารแววตาที่ฉันเองก็เข้าใจดีกว่าอีกคนนั้น
กำลังรู้สึกอย่างไร

“ไม่เป็นไรนะ”

“อย่ามาทำดีกับฉันให้มากเลย”

“…………….”

“ถ้าฉันตกหลุมรักเธอเป็นครั้งที่สอง…ทุกอย่างมันจะยุ่งยากไปมากกว่านี้”

“นั่นเป็นสิ่งที่ฉันคิดว่ามันจะไม่มีวันจะเกิดอีก”

“มันก็ไม่แน่เสมอไปหรอก”

“…………..”

“ถ้าเธอยังไม่เลิกทำตัวแสนดีแบบนี้”




“วันนี้ท่านดูอารมณ์ดีนะครับ”

เลขาคนสนิทที่เพิ่งเดินเข้ามาพร้อมกับแฟ้มเอกสารเกี่ยวกับรายชื่อหุ้นส่วนของ
โครงการสร้างโรงแรมแห่งใหม่เอ่ยทักเจ้านายของตัวเองที่นั่งอยู่ในห้องทำงานที่ดูอารมณ์ดี
มากกว่าในทุกๆวันที่เคยเห็นก่อนจะวางเอกสารนั่นลงบนโต๊ะ ในขณะที่เจ้านายของตัวเองกำลัง
ไล่สายตาไปยังรายชื่อบนหน้ากระดาษอย่างใจเย็น

“ฉันดูอารมณ์ดีขนาดนั้นเลยรึ”

“คงไม่พ้นเรื่องคุณหนูใช่มั้ยครับท่าน”

“อย่าดังไปทุกอย่างมันเป็นไปตามที่ฉันคิดเอาไว้”

เลขาคนเดิมโค้งให้กับเจ้านายผู้สูงวัยน้อยๆก่อนจะเดินออกไปอย่างเงียบๆปล่อยให้
เขาเองนั่งยิ้มอย่างอารมณ์ดีหลังจากที่ได้รับรู้ถึงสถานการณ์ของหลานสาวของตัวเอง
กับหุ้นส่วนรายใหญ่คนนั้น

ปึก

“ฮโยมินครับ…ผมทำอะไรให้คุณไม่พอใจรึเปล่า”

“………….”

“เอ่อ…คุณฮโยมินครับ!”

ฉันไม่ได้สนใจเสียงเรียกตะโกนที่ดังออกมาจากผู้ชายในรถที่เพิ่งจอดลงที่หน้าบ้าน
นอกเสียจากการพาตัวเองเดินเข้าไปภายในพร้อมกับการมองหาคุณปู่

“คุณปู่กลับมารึยัง!”

“ย…ยังค่ะคุณหนู”

“ถ้าคุณปู่กลับมาแล้วมาบอกฉันด้วย”

“………..”

“ได้ยินรึเปล่า!”

“คค่ะ!….คุณหนู”

ปัง!

ตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ขนปุยสีขาวบริสุทธิ์กระเด็นไปติดอยู่ผนังเป็นรอบที่เท่าไหร่ของชั่วโมง
ที่ผ่านมาแล้วก็ไม่รู้หลังจากที่ฉันเข้ามาถึงห้องนอนของตัวเอง ยิ้มเยาะใหกับความโง่เง่าของ
ตัวเองที่หลงเชื่อผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงคนเดียวที่เธอเองยอมเอาตัวเข้าไปปกป้องจากคนที่
เจ้าตัวเองก็เกลียดมากที่สุด

“เห็นฉันเป็นตัวอะไรกันนะ”

ท่าทางเป็นห่วงเป็นใยรวมถึงการพาฉันมาส่งถึงที่บ้านในคืนที่ผ่านมานั่นเป็นการเสแสร้ง
ทั้งหมดงั้นเหรอ ภาพของการโอบประครองของคนทั้งสองที่เกิดขึ้นก่อนหน้ามันยังคงซ้ำเติม
ลงไปกับอารมณ์ร้อนๆของตัวเองให้เพิ่มมากขึ้นแต่มันคงไม่เท่ากับการที่เธอรีบเดินไปหาอีกคน
หลังจากที่ฉันฟาดฝ่ามือลงไปที่ใบหน้าสวยๆนั่น

ก๊อกๆๆ

“คุณหนูคะ”

ก็อกๆ+

“คุณ…”

แกร๊ก

“คุณปู่กลับมาแล้วใช่มั้ย”

“เปล่าค่ะ….คือว่าข้างล่าง”

ฉันเดินลงไปยังชั้นล่างของบ้านก่อนที่จะชะงักฝีกเท้าเอาไว้อยู่ที่บันได เมื่อมองเห็นใครบางคน
ที่ยืนอยู่ตรงหน้าบ้านพร้อมกับพอช์รคันสีขาวที่น่าเข้ามาจอดได้ไม่นาน เธอเดินเข้ามาใกล้
ในขณะที่ฉันเองก็กำลังเดินออกไป ใบหน้าที่เห็นอยู่ตอนนี้มันยังคงดูเย็นชาและเรียบนิ่ง
ถ้าหากไม่ฉันเองไม่สังเกตุเห็นแววตาที่แฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่อีกคนกำลังแสดงออกมา

“มาทำไม”

“เพื่ออธิบายทุกอย่างให้เข้าใจ”

“ไม่เห็นจำเป็นซักนิด”

“จะไม่ยอมฟังฉันจริงๆเหรอ”

เธอเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับสองมือที่จับเข้ากับหัวไหล่ของฉันทั้สองข้าง แววตาที่มองเห็น
อยู่ในตอนนี้ทำให้นึกเกลียดตัวเองที่แก้นิสัยกับความใจอ่อนไม่หายซักที เธอดึงฉัน
เข้าไปกอดเอาไว้โดยที่ฉันเองก็กำลังดิ้นขุกขลักอยู่อ้อมกอดของเธอ

ใครว่าไม่คิดถึงใครว่าไม่ต้องการอ้อมกอดของคนตรงหน้า แต่ในเวลาสมองมันกำลัง
สั่งให้ร่างกายทำในสิ่งตรงกันข้ามออกไป

“ปล่อย…”

“…………..”

“บอกให้ปล่อย”

“ฉันจะยอมปล่อยเมื่อพี่สัญญาว่าจะฟังสิ่งที่ฉันพูดทั้งหมด”

“คุณปู่….”

อีกคนผละฉันออกมาก่อนที่จะหันไปหาคุณปู่ที่กำลังเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจนัก
เธอโค้งให้คุณปู่เล็กน้อยก่อนที่จะย้ายตัวเองมายืนอยู่ข้างๆฉัน

“พรุ่งนี้จะมีงานเปิดตัวน้ำหอมอยู่แล้ว”

“…………..”

“เจ้าของงานยังมีเวลามาทำอะไรแบบนี้อยู่อีกเหรอ”

“เอ่อ…คือหนูมีเรื่องต้องคุยกับพี่ฮโยมินนิดหน่อยนะค่ะ”

“เอาเวลาไปดูแลนางแบบคนนั้นไม่ดีกว่าเหรอ”

“คนที่หนูอยากดูแลมากที่สุดมีแค่คนที่ยืนอยู่ข้างๆนี้เท่านั้นล่ะค่ะ”

“แล้วชวนฮโยมินไปงานที่ว่านั่นรึยังล่ะ…หื้ม”

“…………..”

“งานเปิดตัวนักปรุงน้ำหอมคนใหม่ของตระกูลพัค ที่มีนางอยย่างแบบจอง เจสสิก้ามา…”

“ขอโทษนะคะคุณปู่…หนูขอคุยเรื่องนี้กับพี่ฮโยมินเองดีกว่า”

“เอาอย่างนั้นเหรอ…”

“………..”

“ฮโยมินอ่า…ยังไงหลานก็ต้องไปให้ได้นะ”

“……………”

“ขนาดผู้หญิงที่เป็นแรงบันดาลของน้ำหอมกลิ่นนี้ยังมาเป็นตัวหลักของงานนี้เลย”

ปัง!

“พี่ฮโยมินเปิดประตูให้ฉัน!”

ปัง ปัง ปัง!++

“ออกไปให้พ้น!”

“ฉันจะไม่ไปไหนจนกว่าพี่จะยอมออกมาคุยกับฉัน!”

“ปล่อยฉัน!”

ปังๆๆๆ

“พี่ฮโยมิน!”

นั่นเป็นเสียงเรียกครั้งสุดท้ายก่อนที่ความเงียบจะเข้ามาครอบคลุมบรรยากาศภายใน
ห้องนอนของตัวเอง แล้วฉันก็หวังเอาไว้ว่าคุณปู่คงจะไม่กล้าสั่งให้คนของตัวเอง
ทำอะไรเธอมากไปกว่าการบอกให้เธอกลับออกไป ฉันทิ้งตัวเองลงนอนที่เตียงอย่าง
เหนื่อยอ่อนพร้อมความรู้สึกบางอย่างที่กำลังตีรวนชวนให้เกิดความขุ่นเคืองอยู่ภายในใจลึกๆ
ฉันกลับไปมีนิสัยชอบเอาแต่ใจและไม่สนใจฟังเหตุผลอีกครั้ง นั่นก็เป็นเพราะฉันเอง
ยกความรู้สึกของตัวเองให้เป็นที่หนึ่งมาก่อน

“มันเป็นคำสั่งของคุณพ่อ”

“แล้วอีกอย่างมันก็เป็นแค่งาน”

ครืนนนนน


เสียงขู่คำรามที่ดังขึ้นเรียกให้ฉันลุกขึ้นมาจากเตียงก่อนจะรีบเดินตรงไปยังบานหน้าต่าง
พร้อมสองมือที่กำลังจะรูดปิดม่านผืนยาวนั่นลง ในขณะที่สายตาของตัวเองก็ยังคงมองเห็น
รถของคุณปู่ที่แล่นออกไป เธอเองก็คงจะกลับไปแล้วถ้าหากว่าฉันไม่เห็นพอร์ชสีขาวยังคง
จอดอยู่ที่เดิม

ซ่า…..

ไม่นานนักท้องฟ้าที่มืดดำก็ปล่อยให้สายฝนเริ่มเทลงอย่างหนัก แล้วความสนใจทั้งหมด
ก็กำลังมุ่งไปยังร่างของเธอที่กำลังถูกผู้ชายสองคนโยนออกมาที่ลานหน้าบ้าน ฉันรีบซ่อนตัวเองจาก
สายตาของเธอที่กำลังมองขึ้นที่หน้าต่างห้องที่ฉันเองยืนอยู่ในขณะที่กำลังนึกโกรธคุณปู่
ที่ปล่อยให้คนของตัวเองทำเรื่องบางอย่างที่มันมากเกินไปแล้วจริงๆ

เปรี้ยง+

ฉันยกมือทั้งสองขึ้นมาปิดหูตัวเองเอาไว้ในขณะที่ท้องฟ้าที่มืดครึ้มกำลังฉายแสงสีขาววาป
ลงมา นึกโกรธตัวเองที่ปากใจอย่างใจอย่างเมื่อสองขารีบพาตัวเองเดินลงไปถึงชั้นล่าง

“ใครสั่งให้จับเขาโยนออกไปแบบนั้น!”

“ก็เขารบกวนคุณหนูนิครับ”

“มากเกินไปแล้ว!”

“………….”

“ให้เขาเข้ามาแล้วก็บอกให้เขากลับไป!”

“ค…ครับคุณหนู”

ฉันเดินขึ้นถึงชั้นบนเพื่อจะมารอดูสถานการณ์ข้างล่างอีกครั้ง ม่านผืนยาวที่ใช้ป้องกัน
แสงคำรามจากท้องฟ้าถูกเปิดออกพร้อมการเฝ้ามองคนของคุณปู่ที่กำลังเดินเข้าไปหาคน
ที่นั่งตากฝนอยู่ที่เดิม เกิดการยื้อแย่งกันไปมาอยู่ซักพักก่อนที่คนของคุณปู่จะส่ายหัว
แล้วเดินกลับมาในบ้านอย่างเดิม

“ทำไมถึงดื้อนักนะ”

ก็อกๆๆ

แกร๊ก

“คุณหนูครับเธอบอกว่าจะไม่ยอมไปไหนจนกว่าคุณหนูจะยอมคุยกับเธอ”

“ไปเขาว่า…ถ้าหากถูกฟ้าตายก็อย่ามาโทษว่าเป็นความผิดของฉัน”

ปัง!

บานประตูถูกปิดกระแทกลงอีกครั้งก่อนที่ฉันจะเดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งที่เตียง
พร้อมกับใช้ผ้าห่มคลุมตัวเองเอาไว้ นึกโมโหคนที่นั่งตากฝนอยู่ตรงนั้นกับความดื้อด้าน
อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ห้า

สี่

สาม

สอง

หนึ่ง

เปรี้ยง+

แกร๊ก

ฉันตัดสินใจพาตัวเองเดินลงไปชั้นล่างอีกครั้งผู้ชายยสองคนที่ยืนนิ่งอย่างไว้ท่าอยู่ที่
หน้าบ้านเริ่มหันมามองฉันด้วความแปลกใจก่อนที่ฉันจะแยกร่มในมือของเขา
เพื่อกางออกแล้วรีบเดินออกไปหาคนที่กำลังนั่งก้มนิ่งอยู่กลางสายฝน

“เลิกทำแบบนี้ซักที!”

“…………….”

“กลับไปได้แล้ว”

“ย…ยอมคุยกับฉันแล้วใช่มั้ย”

ฉันตะโกนแข่งอยู่กัยเสียงฝนที่เทลงมาไม่หยุดในขณะที่ร่างกายก็กำลังรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็น
จากเม็ดฝนที่สาดเข้ามาพร้อมกับการเดินเข้าไปใกล้เธอที่กำลังลุกขึ้นมาอยู่ภายใต้ร่มอันเดียวกัน
จ้องมองใบหน้าซีดขาวที่อาจเป็นเพราะความหนาวเย็นจากฝนที่เทลงมาอยู่ในตอนนี้

“คิดว่าตัวเองเป็นพระเอกละครรึไง!”

“หายโกรธฉันแล้วใช่มั้ย”

“แค่ไม่อยากให้ใครโดนฟ้าผ่าตายที่หน้าบ้านของตัวเอง”

“แสดงว่าก็ยังเป็นห่วงกันอยู่”

“ไม่ใช่ซะหน่อย!”

ฉันวางสายตาไปยังต้นไม้รอบๆเพื่อหลบเลี่ยงแววตาอ้อนวอนของคนตรงหน้า
ก่อนจะรู้สึกถึงได้ถึงความเย็นจากฝ่ามือของอีกคนที่ยื่นเข้าจับมือของฉันเอาไว้
นึกเกลียดตัวเองเป็นรอบที่ร้อยของวันกับความใจอ่อนของตัวเองและมักจะ
ยอมให้อีกคนอยู่เรื่อยๆ

“จะไม่ยอมฟังกันเลยจริงๆเหรอ”

“…………”

“ให้ฉันได้อธิบายเรื่องทั้งหมดให้พี่เข้าใจจะได้มั้ย”

เปรี้ยง!

แล้วสองมือก็เป็นอิสระจากร่มและความเย็นจากฝ่ามือของเธอเมื่อฉันเองกำลัง
ยกฝ่ามือทั้งสองข้างของตัวเองขึ้นมาปิดหูเอาไว้ แต่ความกลัวที่ว่านั้นมันก็ค่อยๆ
หายไปเมื่อเธอเองกำลังดึงฉันให้เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเธอพร้อมกับฝ่ามือ
ที่ยกขึ้นกดหัวของฉันให้ซุกเอาไหล่ของเธอ

“ปล่อย!”

ผลั่ก

“ไม่ต้องมากอด…เธอทำให้ฉันเปียกไปหมดแล้ว”

“ฉันรู้ว่าพี่กลัวเสียงฟ้าร้อง…”

“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น”

“ทำไมพี่ถึงใจร้ายกับฉันแบบ…”

“เข้าบ้าน!”

“อ…อะไรนะ”

“ก็บอกว่าให้รีบเข้าบ้านไง!”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
./
.
TBC.♥Minyeon

1 thoughts on “Adore you #24

  1. เจ้าของไร่นี่ก็แปลกนะใจดีกับทุกคนจริงๆปล่อยให้คนของตัวเองไปกับคนอื่นง่ายๆแบบนั้นได้ไงกัน ตากฝนไปแทนการลงโทษก็ดีเหมือนกัน ส่วนเด็กฝึกงานก็รีบๆใจอ่อนเถอะค่ะถือว่าเห็นแก่เจ้าของไร่ที่ทั้งถูกโยนแถมยังเปียกฝนอีก
    ไรเตอร์หวังว่ามาม่าที่ต้มเอาไว้คงจะหมดสักทีแล้วนะตอนนี้มันแน่นมันอึดอัดไปหมดแล้วล่ะค่ะ อยากกินของหวานบ้างไม่ได้หรอคะ

ใส่ความเห็น

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.